Monster Hunter: World

Monster Hunter: World

61 个评价
การแนะนำอาวุธ และการบัพการโจมตี
由 さんご 和其他 1 人合作完成
การแนะนำอาวุธ และการบัพการโจมตี
   
奖励
收藏
已收藏
取消收藏
♢ ปั้มค่า Attack กัน ♢
การปั่นพลังโจมตีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเกม RPG ที่มีการบวกกันอยู่ดั่งช้อนส้อม ใน Monster Hunter World เองก็เช่นกันที่มีบัพต่างๆ ให้เลือกใช้ และส่วนหนึ่งที่เพื่อนๆ หลายคนสงสัยก็คงไม่พ้น เจ้าไอเทมเพิ่มพลังโจมตีเนี่ย มันส่งผลอะไรยังไงกัน อ่ะมา รอบนี้จะพาไปรู้จักกับเหล่าของเพิ่มพลังโจมตีและป้องกัน เพื่อบัพให้สะใจกันไปเลย!


หลักของการเพิ่มพลังโจมตี

สิ่งที่ควรทราบก่อนอื่นเลยนั่นคือ นอกจากตัวอาวุธที่ใช้จะมีค่าพลังโจมตีตามที่กำหนดแล้วนั้น การใช้ไอเทม สกิล หรือบัพจะส่งผลให้มีพลังโจมตีเพิ่มขึ้น และอาวุธแต่ละชนิด จะมีการคูณค่าพลังโจมตีที่แตกต่างกันไปเมื่อโจมตีออกมาจริง ทำให้อาวุธบางชนิดอย่างดาบใหญ่ จะมีค่าตัวเลขในเกมสูง ทุบทีก็ออกมาแรง แต่ช้า ในขณะที่อาวุธอย่างธนู มีตัวเลขต่ำ ยิงเบากว่าแต่เน้นปริมาณความถี่ให้สมดุลย์กัน

อาวุธ
ตัวคูณความเสียหาย
อาวุธ
ตัวคูณความเสียหาย
Great Sword
4.8
Gunlance
2.3
Long Sword
3.3
Switch Axe
3.5
Sword & Shield
1.4
Charge Blade
3.6
Dual Blades
1.4
Insect Glaive
3.1
Hammer
5.2
Light Bowgun
1.3
Hunting Horn
4.2
Heavy Bowgun
1.5
Lance
2.3
Bow
1.2

ไอเทมและสกิลต่างๆ นั้น จะเพิ่มพลังโจมตีเป็นจำนวนตายตัว แต่เมื่อนำไปคูณกับตัวเลขเฉพาะของอาวุธแต่ละชนิด ทำให้ผลที่ได้ออกมาต่างกันตามสมดุลย์ของเกมนี้ ซึ่งถ้าไม่อยากคิดให้เครียดมากนัก ก็สามารถดูจากตัวเลขตายตัวเอาก็ได้จ้า เพราะเรามั่นใจได้ว่าเพิ่มมา มันแรงขึ้นแน่ๆ แอ๊




















ตามปกติแล้ว เราจะสามารถแบ่งของเพิ่มหมวดของบัพต่างๆ ทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันออกเป็น 4 หมวดได้ดังนี้

1. สกิลจากชุดเกราะ สกิลทั้งหมดสามารถซ้อนทับกันได้ โดยแต่ละสกิลก็จะเพิ่มพลังโจมตีแตกต่างกันไปตามที่ระบุไว้

2. บัพจากการกินข้าว การกินเนื้อจะช่วยเพิ่มพลังโจมตีได้

3. ไอเทมต่างๆ อันได้แก่ Charm, Talon, Drug, Seed, Powder, Pill ซึ่งเป็นจุดที่จะขออธิบายเพิ่มเติมเนื่องจากบางอย่างจะซ้อนทับกันได้

4. บัพจากเสียงเพลง ของ Hunting Horn หรือ Coral Orchestra ของแมว อันนี้อะไรแรงกว่าก็จะได้รับผลอันนั้น

ทั้งสี่หมวดนี้จะเพิ่มซ้อนทับกันได้หมด โดยจุดที่ยุ่งยากที่สุดคือส่วนของไอเทมจ้า เนื่องจากมีของที่จะชนกันเองไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ จึงเป็นอะไรที่แลดูจะวุ่นวายกว่า เพราะงั้นเราไปดูกันโล้ดว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง




















ไอเทมเพิ่มพลังโจมตีชนิดต่างๆ

ตัวไอเทมเพิ่มพลังโจมตีนั้นจะมีทั้งแบบพกพาและกดใช้งาน ซึ่งอันที่จริงก็จะไม่ยากเท่าไหร่นัก โดย Drug จะชนกันเอง และ Seed กับ Pill นั้นต่างกันที่เวลาและพลังโจมตีที่ได้ การใช้ไอเทมบัพเหล่านี้จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่สาย Support หรือคนที่ต้องการทำเวลาควรทราบไว้จ้า























*สกิล Item Prolonger level 3 จะเพิ่มเวลาเท่าในวงเล็บ*

จะเห็นได้ว่าหากต้องการบัพพลังโจมตีกันให้สุดๆ แล้วนั้น การพก Power Charm (+6), Power Talon (+9), กินข้าวแมว Attack Up (L) (+15), ยัด Mega Demondrug (+7), Demon Powder (+10) และปิดด้วย Might Pill (+25) จะเพิ่มพลังโจมตีแบบสุดๆ เท่าที่ตารางนี้จะมอบให้ได้เลยทีเดียว! (+72 หน่วย! อุต๊ะ)

แต่ทั้งนี้ ปัญหามันก็อยู่ที่ว่า เวลาของเจ้าไอเทมและการหามันนี่แหละ อย่างเช่น Might Pill ที่เพิ่มพลังโจมตีแซงทุกสิ่งทุกอย่าง ก็มีผลแค่ 20 วินาที เรียกว่าถ้ามอนไม่ได้ล้มอยู่ เปิดโอกาสให้โจมตีรัวๆ ต่อเนื่อง ก็หาความคุ้มค่าไม่เจอกันเลย หรืออย่าง Mega Demondrug ที่เพิ่มตัวเลขให้ 2 หน่วย แต่ต้องใช้ไอเท็ม Nourishing Extract ที่ไม่มีขาย หาลำบากมาผสม ก็ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะใช้แค่ Demondrug กัน ส่วน Might Seed / Demon Powder ขึ้นกับความขยันบัพกันจ้า




















อนึ่ง สำหรับคนที่มีสกิล Mushroomancer ที่ทำให้กินเห็ดและได้ผลเหมือนไอเท็มต่างๆ ตัว Nitroshroom นั้นจะเทียบเท่ากับการกิน Demondrug และ Parashroom จะให้ผลเหมือนกิน Armordrug ทุกประการจ้า หลักการเดียวกันเป๊ะๆ จะได้ไม่กินชนกันนะจ๊ะ

นอกจากนี้แล้วไอเทมสายเพิ่มพลังป้องกัน (Adamant, Armor) ก็จะใช้ตารางแบบเดียวกันนะจ๊ะ แต่มีผลในด้านการเพิ่มพลังป้องกันแทน หากลงเควสใหญ่ๆ อันตราย ก็ใช้บัพเอาตัวรอดก่อนสู้ได้นะเอ้อ จากทีเดียวตายอาจจะเหลือนิดหน่อยให้คลานกลับมากินยาได้ในบางกรณีนะเอ้อ




















แถมท้ายกับการคราฟไอเทม
ทิ้งท้ายกันอีกเล็กน้อยกับการคราฟไอเทมและวิธีตามหาจ้า ซึ่งน่าจะทำให้เพื่อนๆ สามารถคำนวนได้ว่า ควรจะฟาร์มอะไร หรือจะใช้อะไรในการบัพออกล่าแต่ละครั้งดี




































ด้วยการเลือกใช้บัพให้เหมาะสมแบบนี้ การล่าอะไรที่ต้องใช้เวลานานก็จะเร็วขึ้น ก็หวังจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ทั้งสายเล่นชิว สายบู๊ สายบัพกันน้า ….. ว่าแต่มีบัพทำให้ Gem หล่นง่ายขึ้นไหมเนี่ย?
♕ Skill : สกิลต่างๆ ภายในเกม ♕



















ตัวอย่างสกิลของชุดเกราะ โดยระบบจะแสดงให้เห็นว่าสกิลนี้มีจากส่วนไหนอยู่โดยเน้นสีเหลืองให้

Skill ของชุดเกราะแบบ Set (ต้องใส่ตามที่กำหนด)

สกิลของชุดเกราะนั้นจะแบ่งเป็นสกิลในระดับ Low Rank และ High Rank เพื่อนๆ จะได้รับสกิลที่กำหนดเมื่อใส่ชุดเกราะครบจำนวนที่ตัวเกมระบุไว้ ซึ่งในระดับ High Rank นั้นจะสามารถผสมกันได้ทั้งในแบบ α และ β รวมถึง Sub Species ด้วย (เช่นการใส่ชุด Rathalos α ร่วมกับ Rath Soul β อย่างละชิ้น จะได้ผลของสกิล Rathalos Mastery ด้วยเช่นกัน) ซึ่งบางสกิลนั้นก็จะมีอยู่ในรูปแบบของเพชรด้วย ทำให้เพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุด Set เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็ได้






























































































ตัวอย่างสกิลที่ได้จากการใส่เครื่องราง

สกิลทั่วไป

ส่วนของสกิลทั่วไปนั้น จะเป็นสกิลที่มีติดตัวอยู่บนชุดเกราะหรือเพชรสกิล รวมถึงเครื่องรางต่างๆ แต่ละสกิลนั้นก็จะมีเลเวลแตกต่างกันไป โดยเพื่อนๆ จะได้รับแต้มสกิลจากการใส่ชุดหรือเพชรที่มีสกิลเหล่านี้ 1 แต้มเท่ากับ 1 เลเวล และไม่สามารถใส่ให้แสดงผลเกินกว่าที่เลเวลของตัวสกิลมีอยู่ได้ เช่นการใส่ Attack Boost ไป 10 แต้ม ตัวเกมก็จะแสดงผลแค่เลเวล 7 ที่เป็นสูงสุดเท่านั้น ที่เหลือก็จะเสียเปล่าไปจ้า

การเลือกสกิลนั้นก็ควรเลือกให้เหมาะกับแนวทางการเล่นของเรา บางคนอาจจะชอบความรุนแรงก็จัดหนักด้านพลังโจมตีได้เลย ส่วนใครที่ชอบด้านการเอาตัวรอด ก็อาจจะเน้นไปที่การเพิ่มพลังชีวิตหรือการหลบหลีกแทน ไม่มีอะไรตายตัว ขึ้นกับความชอบของแต่ละคนกันเลยทีเดียว

*ตัวสกิลนี้จะเรียงตามตัวอักษร A-Z จ้า*

ธนู - Bow



















ใน Monster Hunter World นั้นก็มีอาวุธอยู่มากมายกว่า 14 ชนิดให้เพื่อนๆ ได้เลือกใช้ ตัวอาวุธแต่ละชนิดนั้นก็จะมีจุดอ่อนจุดแข็งแตกต่างกันไป ทำให้เพื่อนๆ ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการเล่นให้เข้ากับตัวเองได้มากที่สุด และในครั้งนี้ หมาก็จะมาแนะนำถึงอาวุธส่วนตัวที่ชอบใช้มากที่สุด ….. ไม่ซิ อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นอาวุธเดียวที่ใช้เลยจะดีกว่า (ฮา) มันคือเจ้า Bow หรือธนูนั่นเอง


Bow หรือธนูนั้น เป็นหนึง่ใน 3 อาวุธระยะไกลของ Monster Hunter World และเป็นอาวุธที่จัดได้ว่ามีความคล่องตัวสูงมาก สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีท่าที่ต้องจำเป็น Combo ไม่เยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นอาวุธที่กิ๊กก๊อกดูบ๊อแบ๊แต่อย่างใด ด้วยความที่เข้าถึงง่ายและท่าไม่เยอะ กลับทำให้มันเป็นอาวุธที่อยู่ในมือคนที่ชำนาญแล้ว จะรีดความเสียหายได้อย่างต่อเนื่องเป็นอย่างมากเลยทีเดียว


ทำความรู้จักกับธนูขั้นพื้นฐาน

พื้นฐานของอาวุธธนูนั้นก็จะประกอบไปด้วยระดับการชาร์จ, รูปแบบการยิง และน้ำยา Coating ต่างๆ ซึ่งหากเพื่อนๆ เข้าใจพื้นฐานทั้ง 3 อย่างนี้แล้วก็จะเล่นธนูได้ง่ายขึ้นมากเลยล่ะจ้า




















► การชาร์จธนู

การชาร์จของธนูนั้น จะหมายถึงการที่เพื่อนๆ กดยิงธนูค้างแต่ยังไม่ปล่อยปุ่ม ตัวละครจะง้างธนูเอาไว้และเสียค่า Stamina ไปเรื่อยๆ และในแต่ละวินาที คันธนูจะกระพริบแสงสีแดง 1 ครั้ง สูงสุดที่ 2 ครั้ง นั่นคือการชาร์จ โดยเจ้าชาร์จแต่ละขั้นนี้ จะส่งผลให้เราสามารถยิงได้แรงขึ้น และการโจมตีจะมีลูกธนูออกไปจำนวนดอกเยอะขึ้น

ธนูนั้นจะมีการชาร์จทั้งหมด 3 ระดับ โดยชาร์จ 1 หรือไม่ชาร์จนั้นจะเบาที่สุด ตามด้วยชาร์จ 2 (กระพริบ 1 ครั้ง) และชาร์จ 3 (กระพริบ 2 ครั้ง) ซึ่งหากเพื่อนๆ มีสกิล Bow Charge Plus จะสามารถทำการชาร์จขั้น 4 ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดีในภาค World นี้ ธนูได้รับการบัพเป็นอย่างมาก เพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องง้างธนูเอาไว้อีกแล้ว สามารถกดยิงต่อเนื่องได้ โดยที่การยิงครั้งต่อไปในชุดเดียวกันจะมีการชาร์จเป็นขั้นต่อไปให้โดยทันที ทำให้การเล่นธนูนั้นสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกดค้างไว้จนชาร์จเต็มแล้วค่อยยิงเหมือนสมัยอดีตอีกแล้ว นอกจากนี้ การกดเล็งและกลิ้ง จะกลายเป็นการสไลด์ (Charging Sidestep) ที่มีผลทำให้เพิ่มระดับการชาร์จของธนูไปขั้นนึงอีกด้วย




















► รูปแบบการยิง

ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว รูปแบบการยิงของธนูนั้นจะมีทั้งหมดแค่ 7 อย่างเท่านั้น (โคตรน้อย!!!) โดยประกอบไปด้วย

  • Normal Shot หรือการยิงธรรมดา จะยิงลูกธนูไปด้านหน้า เกาะกลุ่มกัน มีระยะโจมตีไกลสุด เหมาะกับการเน้นจุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษ และใช้ค่า Stamina น้อยมาก
  • Special Shot หรือ Spread Shot เป็นการกดปุ่ม Special Shot เพื่อยิงลูกธนูออกไปเป็นหน้ากระดาน แบ่งเป็น Quick Shot (ชาร์จ 1) ยิงออกไป 3 นัด และ Power Shot (ชาร์จ 2 ขึ้นไป) จะยิงออกไป 5 นัด ซึ่งสร้างความเสียหายได้มาก แต่มีระยะโจมตีที่สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด
  • Arc Shot หรือท่าโปรยลูกเหล็ก ท่านี้จะใช้ได้ด้วยการกด Special Shot หลังใช้ Power Shot หรือทำการง้างธนูเอาไว้และกด Special Shot ท่านี้จะโปรยลูกเหล็กลงมา ทำความเสียหายเป็นการทุบ สามารถทำให้ KO, Stun ได้หากโดนหัวของมอนสเตอร์นานพอ
  • Dragon Piercer หรือที่หลายๆ คนเรียกอัลติ เป็นท่าที่กดใช้ Coating พร้อมกับ Special Shot ตัวละครจะทำการย่อเข่าชาร์จยิงเป็นเวลาเกือบๆ 4 วินาที ก่อนจะยิงธนูที่ทะลุทะลวงเป้าหมายออกไป มีระยะยิงที่ไกลมาก และยิ่งเป้าหมายตัวยากเท่าไหร่ จะมีจำนวน Hit โจมตีสูงขึ้นตามไป สร้างความเสียหายเป็นการตัด สามารถตัดหางเป้าหมายได้
  • Aerial Shot หรือปีนเสายิง เป็นท่าที่เพื่อนๆ จะใช้ได้ต่อเมื่อทำการ Charging Sidestep ไปยังกำแพงหรือเสาเฉพาะจุดที่ทำให้ใช้ Aerial Attack ได้ ตัวละครจะปีนและสาดลูกธนูลงมาเป็นวงกว้าง ทำความเสียหายแรงมาก แต่จำกัดพื้นที่ตายตัว สามารถเล็งทิศคร่าวๆ ได้ด้วยการกดปุ่มทิศทางระหว่างที่ปีนอยู่
  • Lunging Melee Attack หรือโดดแทง ท่านี้จะกดได้ด้วยการ Charging Sidestep และกดใช้ Coating ตัวละครจะกระโดดไปข้างหน้าและแทงด้วยลูกธนูอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายเป็นการตัด
  • Jumping Melee Attack หรือโดดฟัน ท่านี้จะกดใช้ได้เมื่อลอยอยู่กลางอากาศและกดใช้ Coating เป็นการตวัดลูกธนูโจมตี 1 ครั้ง สร้างความเสียหายเป็นการตัด
ซึ่งโดยปกติแล้ว เพื่อนๆ จะได้ใช้ 4 ท่าแรกเป็นหลักเสียมากกว่า โดยรูปแบบการยิงเพื่อสร้างความเสียหายก็จะเป็น Normal-Normal-Normal และปิดท้ายด้วย Power Shot หากเป้าหมายอยู่ในระยะที่สามารถสร้างความเสียหายเต็มจำนวนได้ โดยคอมโบพื้นฐานก็จะประกอบด้วย

  • (ท่าเปิด)-Normal-Normal : สำหรับเป้าหมายที่อยู่ไกล
  • (ท่าเปิด)-Normal-Normal-Power : เป้าหมายอยู่ในระยะที่ยิง Power Shot ทำความเสียหายได้ดี
  • (ท่าเปิด)-Normal-Power : หากต้องการเร่งความเสียหายให้เร็วขึ้น เช่นตอนเป้าหมายล้ม
  • (ท่าเปิด)-Power : รีดความเสียหายสูงสุด แลกกับค่า Stamina ทั้งหมดเท่าที่มี
  • Power-Arc : สำหรับเล่นคนเดียวเป็นหลัก เน้นให้เป้าหมายติด KO โดยเฉพาะ
*ท่าเปิดนั้นหมายถึงการยิงนัดแรกสุดเลือกได้ว่าจะใช้ Normal Shot, Quick Shot หรือ Charging Sidestep ตามด้วยการยิงตามคอมโบปกติ*

► Coating

ธนูแต่ละชนิดนั้นก็จะใช้ Coating หรือน้ำยาเคลือบหัวธนูได้แตกต่างกัน เพื่อนๆ จะสามารถพกพา Coating ไปได้จำกัด และเปิดปิดการใช้งานได้ โดยตัวละครจะทำท่าเคาะน้ำยา เสียเวลาเล็กน้อย ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานะการณ์ต่างๆ ได้

การใช้น้ำยานี้จะมีผลกับการยิงเกือบทุกชนิด ยกเว้น Arc Shot, Melee Attack โดยจะใช้ 1 ขวดต่อการยิง 1 ครั้ง ทำให้ระหว่างที่ใช้น้ำยา การยิงระดับชาร์จสูงๆ หรือ Power Shot จะคุ้มค่ามากกว่า ซึ่งเจ้า Coating นี้จะมีทั้งหมด 6 ชนิด เป็นการเพิ่มพลังโจมตี 2 อย่างและสถานะ 4 อย่างดังนี้
  • Close Range Coating : ลดระยะยิงลงประมาณ 30% แต่เพิ่มพลังโจมตี 20% ธนูทุกชนิดใช้ได้ และมีติดตัวไม่จำกัด
  • Power Coating : เพิ่มพลังโจมตี 30% พกได้ 50 ขวด
  • Paralysis Coating : ยกเลิกผลธาตุของธนู เพิ่มสถานะชาให้กับลูกธนูในการโจมตีแทน พกได้ 20 ขวด
  • Poison Coating : ยกเลิกผลธาตุของธนู เพิ่มสถานะติดพิษให้กับลูกธนูในการโจมตีแทน พกได้ 20 ขวด
  • Sleeping Coating : ยกเลิกผลธาตุของธนู เพิ่มสถานะนอนหลับให้กับลูกธนูในการโจมตีแทน พกได้ 20 ขวด
  • Blast Coating : ยกเลิกผลธาตุของธนู เพิ่มสถานะระเบิด (สร้างความเสียหายตายตัว) ให้กับลูกธนูในการโจมตีแทน พกได้ 20 ขวด
*หากที่ขวดน้ำยาของธนูมีเครื่องหมายบวกอยู่ หมายถึงว่าสถานะนั้นๆ จะมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น ทำให้ติดสถานะได้ง่ายขึ้นกว่าปกติ*


ชุดของสายธนู

ก่อนจะพูดถึงเรื่องชุดนั้น ส่วนตัวหมาก็ขอพูดถึงสกิลที่จำเป็นสำหรับสายธนูก่อน ซึ่งตรงนี้ก็ขอบอกว่าเป็นความคิดส่วนตัวของหมา ดังนั้นหลายคนอาจจะเห็นไม่ตรงกันก็ขออภัยด้วยจ้า โดยสกิลที่จำเป็นของสายธนูจะมีทั้งหมด 3 สกิล
  • Constitution : ลดค่า Stamina จากการกระทำที่ใช้ค่า Stamina คงตัว เช่นการยิง การกลิ้ง มี 5 เลเวล ลดลงเลเวลละ 10% ซึ่งตรงกับการใช้ธนูเป๊ะๆ มาก โดยเราจะใช้สกิลนี้เพียงเลเวล 3 เพื่อใช้ควบคู่กับไอเทม Dash Juice ที่ลดค่าการใช้ Stamina อีก 25% ตันที่ 50% พอดี (เกมจะล๊อคไว้ที่สูงสุด 50% ไม่ต่ำกว่านั้นแล้ว) ซึ่งหากใครไม่ชอบกด Dash Juice จะใช้เกินเลเวล 3 ก็ได้จ้าถ้าช่องสกิลพอ
  • Weakness Exploit : การโจมตีจุดอ่อนจะมีอัตราคริติคอลสูงขึ้น 15/30/50% เป็นสกิลที่ทำให้เรารีดความเสียหายได้สูงมาก เนื่องจากธนูนั้นเป็นอาวุธที่สามารถเล็งจุดอ่อนได้ง่าย และโจมตีได้ต่อเนื่องจากคอมโบ Normal Shot ของเรานั่นเอง เต็ม 3 แน่นอน
  • Critical Element : สกิลนี้เราจะได้จากการใช้ชุด Rathalos สีใดก็ได้รุ่นไหนก็ได้ในระดับ High Rank ครบสองส่วน ทำให้การโจมตีติดคริติคอลของเรา ทำความเสียหายธาตุเพิ่มขึ้นอีก 10% และธนูเป็นอาวุธที่พลังโจมตีธาตุรุนแรงคุ้มค่าที่สุดในภาคนี้ จึงเหมาะกับสายธนูอย่างเรามากๆ




















ดังนั้น ชุดของสายธนูนั้นจะเล่นกับสกิลทั้ง 3 นี้เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตามนั้น ในช่วง Low Rank เพื่อนๆ จะไม่มีตัวเลือกมากนัก เพราะชุดมีสกิลที่น้อยและเพชรที่จะใช้ก็ยังไม่มี ทำให้ชุดที่จัดได้ตอน Low Rank จะมีแค่สามชิ้นที่ได้มาเรื่อยๆ ระหว่างเล่น ประกอบไปด้วย
  • ส่วนหมวก Kadachi
  • ส่วนลำตัว Tzitzi-Yaku
  • ส่วนแขน Odogaron
เพื่อนๆ จะได้ชุดเกราะที่มีสกิล Constitution ชิ้นละ 1 เลเวล เพียงพอกับการใช้งานขั้นพื้นฐาน (เลเวล 3) และเหลือส่วนเอวกับส่วนขาให้ปรับได้ตามความชอบใจ
ธนู - Bow



















ในระดับ High Rank ช่วงต้นนั้น เพื่อนๆ จะมีตัวเลือกมากขึ้น โดยส่วนที่จะถูกบังคับใช้แรกๆ ก็จะเป็น Kadachi A ที่มีสกิล Constitution ถึง 2 เลเวล และใช้ Fitness Charm เสริมจนได้ 3 เลเวล เปิดให้ส่วนอื่นๆ เราจัดชุดตามการเล่นได้ง่ายขึ้น และเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อนๆ จะปลดล๊อควัตถุดิบในการทำ Fitness Charm เลเวล 2 (Odogaron Gem) และเลเวล 3 (Kushala Daora Gem) ได้ และไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับสกิล Constitution ที่ตัวชุดอีกต่อไป

โดยชุดที่เพื่อนๆ จะทำได้ใช้เป็นพื้นฐานทั่วไป หรือชุด Meta นั้น ก็จะมีสองแบบ ที่มีการยืนพื้นฐานที่ Constitution 3, Weakness Exploit 3, Critical Element ทั้งสองชุดนี้จะทำได้ครบชุดหลังจากที่เพื่อนๆ ล่าเจ้า Teostar ได้แล้ว และเพื่อนๆ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นตีกับเจ้า Elder Dragon ได้ด้วยการใส่ Fitness Charm II + ส่วนแขนของ Odogaron แทน จะทำให้เราขาดแค่สกิล Weakness Exploit 1 เลเวลเท่านั้น

ซึ่งชุดแรกนั้นก็คือ
  • ส่วนหัว Rathalos B
  • ส่วนตัว Rathalos B
  • ส่วนแขน Kaiser B (Teostar)
  • ส่วนเอว Nergigante B
  • ส่วนขา Lavasioth หรือ Black Diablos
  • Fitness Charm III
ชุดนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือมีสกิล Attack เลเวล 4 เพิ่มพลังโจมตี +12 และมีค่าคริติคอลให้ 5 หน่วย แต่จะมีช่องใส่เพชรเลเวล 1 น้อยกว่าชุดด้านล่าง 1 ช่อง
  • ส่วนหัว Rath Soul B
  • ส่วนตัว Rathalos B
  • ส่วนแขน Kaiser B (Teostar)
  • ส่วนเอว Odogaron B
  • ส่วนขา Lavasioth หรือ Black Diablos
  • Fitness Charm III
ชุดนี้จะเป็นชุดที่ไม่มีสกิล Attack แต่จะได้สกิล Critical Boost 1 (พลังโจมตีไร้ธาตุแบบคริติคอลแรงขึ้น 5%) กับ Critical Eye 2 (เพิ่มค่าคริติคอล 6 หน่วย) และมีช่องใส่เพชรมากกว่า 1 ช่อง

ส่วนขานั้นจะเป็นการเลือกระหว่างสกิล Normal Shot Up หรือ Spread Shot Up ขึ้นกับเพื่อนๆ ปกติใช้อะไรมากกว่ากัน เน้นยิงระยะไกลหรือเข้าไปคลุกวงใน Power รัวๆ แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังของเกม เพื่อนๆ จะมีทั้งสองสกิลจึงไม่ต้องกังวลมากนัก




















การใส่เพชร

ชุด Meta นั้นจะมาพร้อมกับช่องใส่เพชรเลเวลหนึ่ง 2~3 ช่อง, ช่องเลเวลสอง 2 ช่อง และช่องเลเวล 3 หนึ่งช่อง จำกัดเพียงพอที่จะใช้งานพื้นฐานได้ โดยเพชรที่เพื่อนๆ จะต้องหาอย่างยากลำบากมีสองเม็ดนั่นคือ

Forceshot Jewel [3] หรือ Spread Jewel [3] ซึ่งได้ผลสกิล Normal หรือ Spread สำหรับการใช้คู่กับเกราะส่วนขาให้ได้ผลทั้งสองสกิลพร้อมกัน (ติดตั้งเพชรที่ส่วนแขน)
Mighty Bow Jewel [2] ทำให้เพื่อนได้ผลสกิล Bow Charge Plus ทำให้การคอมโบได้ต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นอีกประมาณ 20%
ซึ่งเพื่อนๆ จะมีช่องเหลือปรับแต่งตามความชอบใจได้ โดยหากชอบการโจมตีที่รุนแรงแล้ว ตัวเลือกการใส่เพชรโจมตีธาตุตามชนิดของธนู 3~4 เม็ดจะดึงความเสียหายได้มากที่สุด หากใครชอบเล่น Solo ยิงมอนให้ล้ม เหนื่อยง่าย การใส่เพชรสกิล Stamina Thief จะช่วยตอบโจทย์มากกว่าเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้เพื่อนๆ ใช้เพชร Attack เนื่องจากทั้งหายากและเพิ่มพลังโจมตีได้ไม่เท่ากับเพชรธาตุที่หาง่ายกว่ามากด้วย

อย่างไรก็ดี ชุด Meta นั้นเป็นชุดพื้นฐานสำหรับการใช้งานตอนแรกเท่านั้น เมื่อเพื่อนๆ เข้าถึงธนูและอยากดึงความสามารถของตัวชุดออกมาให้สุดนั้น จะต้องมีการพลิกแพลงส่วนต่างๆ ให้มีการโจมตีธาตุเพิ่มเติมไปในชุดด้วยโดยไม่เสียสกิลเดิมไป ทำให้การจัดชุดนั้นจะยุ่งยากขึ้นไปอีกตามแต่ละธาตุ ตรงนี้ก็อยู่ที่การ Mix & Match ของเพื่อนๆ แล้วล่ะจ้าว่าจะดึงศักยภาพมาได้ขนาดได้

ก็ขอแนะนำให้เพื่อนๆ ที่จะจัดชุดใหม่นั้น ลองมองดูชุดส่วนที่มีสกิลโจมตีธาตุ และปรับเปลี่ยนเอาจ้า แง้มๆ ว่าถ้าสกิลโจมตีธาตุอยู่ที่ส่วนหัว เราสามารถใช้ส่วนเอวของ Rath Soul B แทนได้นะจ๊ะ Critical Element ไม่หายแถมได้โจมตีธาตุเพิ่มชิวๆ เลย




















ธนูธาตุต่างๆ

ในเมื่อธนูนั้นโดดเด่นที่การโจมตีธาตุแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะมีธนูยอดฮิตของแต่ละธาตุอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นธนูที่ผู้เล่นแนวหน้าเลือกใช้ในธาตุทั้ง 5 กันจ้า
  • (ไฟ) Anja Shot II : พลังโจมตีและธาตุสูงที่สุดในเกม แม้จะคริติคอลติดลบ แต่ก็แรงเพียงพอที่จะแซงหน้าธนูราทาลอสไปอย่างสบายๆ เลยทีเดียว
  • (น้ำ) Water Shot III / Hunter Proud Bow : สำหรับคนที่ยังจัดชุดที่มี Skill Free Element ไม่ได้ Water Shot จะเป็นตัวเลือกที่โอเคเลยทีเดียว ส่วนถ้าใครที่มีชุดสำหรับปลดธาตุแล้ว Hunter Proud Bow จะแรงแซงหน้าใครๆ เลย
  • (สายฟ้า) Flying Kadachi Strike Bow : ตัวเลือกน้อยจนมีอยู่คันเดียวที่พึ่งพาได้ เย่ะ
  • (น้ำแข็ง) Legia Snowfetcher : สุดยอดธนูธาตุที่พลังธาตุแซงหน้าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ Raw จะต่ำแต่ยิงไปแล้วมีสะดุ้งทุกราย
  • (มังกร) Dragonbone Bow / Vaal Hazard / Insurgeon Bow : ทั้งสามนั้นให้คุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดย Dragonbone นั้นจะมีพลังธาตุที่สูงอย่างน่ากลัว แต่ใช้ Power Coat ไม่ได้ ในขณะที่ Vaal และ Insurgeon นั้นสามารถใช้ Power Coat ได้ สองคันนี้จะต่างกันที่คันหนึ่งมี Slot และคริติคอลไม่ติดลบ แต่อีกคันหนึ่งก็แรงจนเกินหน้าเกินตากันเลยทีเดียว ซึ่งอยู่ที่ว่าเพื่อนๆ ชอบแบบไหนกัน
การจะเล่นธนูให้ดีนั้น เพื่อนๆ จะต้องศึกษาจุดอ่อนของมอนสเตอร์แต่ละตัว พร้อมกับใช้ธนูที่ชนะธาตุสูงสุดเสมอ เพราะแม้ว่าธนูแต่ละดอกของเราจะเบา แต่เมื่อรวมกับจำนวนนัดที่ยิงไปแต่ละครั้งและความต่อเนื่องของการโจมตีจากระยะไกลแล้ว จะทำให้เรารีดความเสียหายได้ไม่น้อยหน้าอาวุธชนิดอื่นๆ อย่างแน่นอนจ้า




















แถมท้าย ธนูสาย Dragon Piercer
ธนูสาย Dragon Piercer หรือ DP นั้น เป็นสายที่เน้นการนั่งยิงสวยๆ ใส่มังกรตัวใหญ่ๆ อย่างเช่น Uragaan, Deviljho, Bazelgeuse หรือ Xeno’jiiva เป็นหลัก แต่ไม่เหมาะกับการยิงตัวอื่นๆ เท่าไหร่นัก และถ้าเทียบกันจริงๆ ก็ไม่แรงเท่ากับสายปกติที่ยิงอย่างต่อเนื่องในเวลาที่เท่ากัน

อย่างไรก็ตามนั้น สายนี้ก็ได้ความฟินจากเสียงทะลวงที่ดังต่อเนื่องสุดเส้นทางอยู่ และก็คุ้มค่าพอจะทำมาเพื่อยิงเจ้าสี่ตัวที่ว่าอยู่ ซึ่งหากเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากลองเล่น ก็สามารถจัดชุดพื้นฐานแบบคนไม่มีเพชรมากมายได้ดังนี้จ้า
  • อาวุธ Cera Coilbender : ธนูไร้ธาตุที่แรงที่สุดในเวลานี้
  • ส่วนหัว ฟรีสไตล์ : หลายคนเลือกใช้ Dragonking Eyepatch จากสกิล Weakness Exploit มากลบนิดหน่อย
  • ส่วนตัว Kaiser B (Teostar) : Special Ammo Boost 2
  • ส่วนแขน Bazelgeuse B : Critical Draw 2
  • ส่วนเอว Rath Soul A : ชุดเกราะส่วนเดียวในเกมตอนนี้ที่มีสกิล Pierce Up
  • ส่วนขา Bazelgeuse A : Critical Draw 1
  • Attack Charm III : เพิ่มพลังโจมตีให้สูงขึ้น
จะทำให้ได้สกิลจำเป็นครบ ประกอบไปด้วย Critical Draw ทำให้การโจมตีครั้งแรกสุดหลังจากชักธนู มีโอกาสคริติคอลเพิ่มขึ้น 100%, Special Ammo Boost 2 ที่เพิ่มพลังโจมตี DP ให้เลเวลละ 10% ปิดท้ายด้วย Pierce Up ที่เพิ่มให้อีก 10% จ้า และถ้าอยากให้ดึงประสิทธิภาพให้ได้สูงกว่านี้ ก็ควรจะมีเพชรสกิล Non-Elemental Jewel ที่ทำให้ธนูไร้ธาตุของเราแรงขึ้นอีก 10% ได้อีก จะแรงกันไปไหน!

ซึ่งถ้าใครมีเพชรของทั้งสามสกิลดังกล่าวนั้น ก็จะทำให้เราสามารถจัดชุดได้อิสระมากขึ้นเยอะเลย และมีสกิลที่เพิ่มความรุนแรงหรือเน้นความปลอดภัยได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งด้วยส่วนหัวที่ใส่อย่างอิสระได้ ทำให้หากใครอยากได้สกิลเฉพาะทาง ก็จะสามารถผสมกับ Charm ได้ด้วย เช่นการใส่ส่วนหัวของ Bazelgeuse คู่กับ Earplug Charm III ก็จะทำให้เราได้ชุดที่มีคุณสมบัติสกิลกันเสียงสมบูรณ์ไปด้วยในตัวนั่นเอง


สุดท้ายนี้ ถ้าบทความนี้ ช่วยให้เพื่อนๆ เล่นธนูได้ง่ายขึ้นหรือถนัดขึ้น ก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งจ้า บอกได้เลยว่าแม้ธนูของเราจะไม่ได้มี Combo มากมายให้ใช้ แต่ถ้าเล่นถนัดนั้น ก็จะสามารถใช้ Solo ยันจบเกมหรือเอาไปยิงแข่งกับอาวุธอื่นๆ ได้โดยไม่น้อยหน้าใครเลยล่ะ! ดั่งใน Clip ซีรี่ย์ด้านบนนี้ ที่หมาใช้เพียงแค่ธนูอย่างเดียวตามเนื้อเรื่องเท่าที่มีให้ พร้อมกับแมวตัวนึง ก็สามารถลุยจนจบได้ ขอเพียงเข้าใจถึงตัวอาวุธและศึกษามอนสเตอร์มา
ธนู - เจาะเรื่องพลังโจมตีของธนู
หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า อาวุธไหนควรเน้นพลังโจมตีอะไรดี ซึ่งใน Monster Hunter World นั้นก็เป็นเกมหนึ่งที่ไม่พ้นเรื่องพวกนี้ และอาวุธแต่ละชนิดนั้นก็จะมีการเน้นค่าพลังโจมตีชนิดใดชนิดหนึ่งแตกต่างกันไป หรือให้ถูกคือจัดเป็นกลุ่มเน้นกายภาพกับเน้นธาตุ ในบทความนี้ก็จะมาพูดถึงอาวุธธนู (Bow) กันว่าเราควรจะเน้นที่อะไร เพราะเหตุใดกัน ซึ่งจะอธิบายค่อนข้างละเอียด แต่ถ้าเพื่อนๆ อยากทราบเหตุผลสรุปสั้นๆ ก็จะมีการสรุปให้ที่ย่อหน้าสุดท้ายจ้า เพราะบอกได้เลยว่า งานนี้ร่ายกันยาวจริงจัง (ฮา)


ธนูกับการโจมตี

ธนูกับการโจมตี

“สำหรับธนูนั้น การเน้นธาตุเป็นอะไรที่สำคัญกว่ากายภาพมาก ในแง่ของการจัดชุดและความแรงที่เหนือกว่า”

ใน Monster Hunter นั้น การโจมตีต่างๆ จะมีค่าจำเพาะที่เรียกว่า Motion Value อยู่ ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาทั่วไปแล้วจะเรียกว่าตัวคูณค่าความเสียหายก็ไม่ผิดนัก ซึ่งแต่ละทวงท่าการโจมตีของแต่ละตัวอาวุธ ก็จะมีค่านี้แตกต่างกันไป เพื่อใช้ในการคำนวนกับพลังโจมตีต่างๆ นำไปใช้กับสูตรต่างๆ มากมาย ส่งผลออกมาเป็นตัวเลขความเสียหายที่ปรากฎให้เห็นบนหน้าจอ

ในขณะที่พลังโจมตีกายภาพนั้นมีการคำนวนหลายขั้นตอน ในทางกลับกันของภาค World นี้ ธาตุนั้นสร้างความเสียหายที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายกว่าจนเกือบเรียกได้ว่าตายตัว และนำไปคิดกับการแพ้ธาตุอีกทีหนึ่ง ทำให้เกิดหลักการที่ว่า อาวุธที่มีการโจมตีช้า หนักหน่วง เช่นดาบใหญ่ ค้อน จะมีผลของธาตุไม่คุ้มค่าเท่าความเสียหายกายภาพ แต่ในขณะเดียวกัน อาวุธที่มีการโจมตีที่รวดเร็ว เบา เน้นจำนวนครั้งในการโจมตี ผลของพลังโจมตีธาตุจะเห็นได้อย่างชัดเจนมาก


ธนูกับการโจมตี

ตัวธนูนั้นเป็นอาวุธในกลุ่มหลัง นั่นคือมีการโจมตีที่ต่อเนื่อง รวดเร็ว และเน้นจำนวน hit ในการโจมตีแต่ละครั้งที่มาก ทำให้ผลรวมการโจมตีออกมาเท่าเทียม หรือสูงกว่าอาวุธที่ช้าแต่หนักหน่วงกว่า ด้วยค่า Motion Value ที่ต่ำของธนู ทำให้การโจมตีกายภาพของธนูนั้นค่อนข้างต่ำมาก และในทางกลับกันความรัวของธนูก็ทำให้ค่าการโจมตีธาตุของธนูนั้นส่งผลเป็นอย่างมาก

สำหรับการอธิบายในบทความนี้ หมาก็จะขอยกตัวเลขจากใน website Honeyhunterworld มาประกอบการอธิบายจ้า เนื่องจากจะเห็นตัวเลขที่ค่อนข้างชัดเจนกว่าในเกม


ตาราง Hit Zone ของภาคก่อนๆ ที่มีคนแกะจากข้อมูลในเกม

รู้จักกับ Hit Zone

การจะอธิบายถึงเรื่องความเสียหายนั้น ยังไงก็คงต้องเท้าความกันถึงส่วนของ Hit Zone กันก่อน ซึ่งสำหรับเกม Monster Hunter World นั้น Hit Zone คือตำแหน่งต่างๆ ของมอนสเตอร์แต่ละตัว ซึ่งจะมีความอ่อน-แข็งที่แตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของการโจมตีและตัวมอนสเตอร์นั้นๆ เช่น ในขณะที่ Azure Rathalos แพ้การโจมตีที่หัวเป็นอย่างมาก แต่หางนั้นแข็งมาก หรืออย่าง Behemoth ที่ส่วนหัวอาวุธทั้งสามแบบโจมตีได้รุนแรงเหมือนกัน แต่ส่วนขาหลังนั้น อาวุธชนิดทุบจะสามารถทำความเสียหายได้มากที่สุดเป็นต้น

Hit Zone นี้จะมีการแยกความเสียหายเป็นกายภาพ (ประกอบไปด้วยการโจมตีแบบฟัน, ทุบ, ยิง) และธาตุ เป็นตัวเลขต่างๆ ที่สามารถตีค่าออกมาเป็นเปอร์เซ็นในสูตรคำนวนเชิงลึก (ซึ่งจะขอละไว้ ให้เข้าใจสั้นๆ ว่ายิ่งสูงยิ่งแรงนั่นเอง)
  • ฟัน : ดาบทั้งหลาย เช่น Great Sword, Long Sword, Sword and Shield, Lance
  • ทุบ : การโจมตีแบบทุบเช่น Hammer, Hunting Horn, Bash Attack ของ Sword and Shield, Lance
  • ยิง : กระสุนต่างๆ เช่นการยิงของธนู, ปืนต่างๆ
  • ธาตุ : กระสุนธาตุ, ท่าโจมตีระเบิดของ Charge Blade, ธาตุที่ติดมากับอาวุธ


Hit zone แบบคร่าวๆ ของภาค World ที่แทนที่ด้วยจำนวนดาว

การที่อาวุธแต่ละชนิดจะสร้างความเสียหายได้ดีแค่ไหน จะอยู่ที่เราสามารถเข้าใจในการโจมตีจุดที่เป็นจุดอ่อนที่สุดได้แค่ไหนนั่นเอง ซึ่งแม้ว่าปกติในซีรี่ย์ Monster Hunter จะไม่มีการพูดถึงส่วนของ Hit Zone อย่างชัดเจน แต่ในภาค World นั้น ตัว Hunter’s Note เองก็มีการใส่รูปแสดง Hit Zone คร่าวๆ โดยระบุจุดอ่อนแข็งเป็นจำนวนดาวไว้ให้เป็นแนวทางนั่นเอง เรียกว่าช่วยเหลือผู้เล่นทางอ้อมกันสุดๆ เลย


ตัวอย่างของ Honeyhunterworld ที่มีบอก Hit zone ของแต่ละจุดให้ทราบ

ในภาค World นี้ ตัวดาวจะแสดงถึงตัวเลขคร่าวๆ โดยดาวเดียวหมายถึงทำได้น้อยมาก สองดาวคือปานกลางไม่ดีมากแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ และสามดาวหมายถึงทำได้แรงมาก ซึ่งเพื่อนๆ สามารถดูค่า Hit Zone นี้ได้จาก website ต่างๆ หรืออย่างกรณีของทาง Honeyhunterworld นั้น สามารถเช็คได้ด้วยการกดปุ่มรูปดาบใหญ่ทางซ้ายมือ และเลือก My Target ด้านบนเพื่อดูจุดต่างๆ ของแต่ละตัวได้


กายภาพดีไหม หรือเอาธาตุดี ปัญหาโลกแตกสำหรับมือใหม่เลยนะ

ลองเปรียบเทียบความเสียหายกายภาพและธาตุ

*หัวข้อนี้เป็นการนอกเรื่อง สามารถข้ามได้จ้า*

ในส่วนของ Hit Zone นั้น จะเห็นได้ว่าค่าการยิงสำหรับ Monster หลายๆ ตัวในหน้า Honeyhunterworld นั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธอย่างอื่นเลย แต่สาเหตุที่ทำให้ธนูสายกายภาพรีดความเสียหายได้ไม่มากเท่าอาวุธอื่นนั้น ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ยุ่งยากเลย มันมาจากการที่ตัวธนูมีค่า Motion Value หรือค่าคูณความเสียหายจากการโจมตีต่อครั้งที่ต่ำเพราะเป็นอาวุธที่โจมตีได้เร็วและหลายครั้งในเวลาสั้นๆ นั่นเอง (หรือเป็นบาลานส์ของเกมนั่นเอง)

แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเกมเองก็ดันมีค่าการโจมตีธาตุที่คำนวนคนละแบบ นั่นคือเพิ่มจำนวนตายตัว (ค่า Motion Value ของธาตุมีแต่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ “ใกล้เคียงกันทุกอาวุธ”) ทำให้อาวุธที่โจมตีช้า มีธาตุสูง ทำความเสียหายในส่วนของธาตุได้เท่าอาวุธที่ตีเร็วแต่มีธาตุสูง ไม่ได้มากน้อยแตกต่างกัน ส่งผลให้อาวุธชนิดโจมตีเร็วได้เปรียบเรื่องธาตุมากกว่า


กดดูรูปเต็มได้จ้า

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น หมาก็จะขอยกตัวอย่างรูปที่ทำการเปรียบเทียบด้วยดาบใหญ่ Anguish (1104/240) ในตารางด้านซ้าย เทียบกับธนู Hazak Velos (228/270) ในด้านขวา ซึ่งทั้งสองรูปนี้ใช้ชุดที่ไม่มีสกิลเสริมการโจมตีใดๆ และมีเป้าหมายที่หัวของ Rathalos ที่แพ้การฟัน 65 ยิง 60 และมังกร 30

ตัว website จะแยกการโจมตีกายภาพ+ธาตุให้เสร็จสรรพ เห็นภาพชัดเจนมาก ถ้าเทียบกับในเกมที่จะรวมเป็นตัวเลขเดียวมา โดยเราจะเห็นได้ว่าทางด้านดาบใหญ่นั้น มีการโจมตีครั้งเดียวกายภาพแรงดีดมากเมื่อเทียบกับธาตุ แต่ของธนูนั้นธาตุแรงกว่าชัดเจนมาก เพราะเป็นการนับรวมจำนวน Hit ครบ (ถ้าอยากได้ต่อนัดต้องเอามาหาร เช่น Power Shot 84+90 หารด้วย 6 จะเหลือแค่ดอกละ 14+15)


จิกทีนึงไม่แรง จิกรัวๆ มันก็แรงได้นะตัวเอง

เมื่อหารความเสียหายต่อนัดแล้ว จะพบว่าค่าพลังโจมตีธาตุนั้นไม่ได้ห่างกันมากเลยในการโจมตีที่รุนแรงของทั้งสองอาวุธ แต่ค่ากายภาพนั้นต่างกันอย่างชัดเจน เป็นอันเห็นภาพกันว่าทำไมธาตุจึงสำคัญสำหรับอาวุธอย่างธนูมากกว่าดาบใหญ่กันไป หลังจากนี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่หลายคนอยากทราบกันมากที่สุดนั่นคือ การดูอัตราการเพิ่มขึ้นของกายภาพและธาตุบ้าง
ธนู - ปั้มค่ากายภาพหรือธาตุดี

ปั้มค่ากายภาพหรือธาตุดี

นอกเรื่องกันยาวแล้ว กลับเข้าเรื่องของธนูจริงจังกันเสียที คำถามที่หลายคนมักจะถามคือ เราควรใช้สกิลเพิ่มพลังโจมตีกายภาพ (Attack Up, Perk Performance, Critical Boost) หรือสกิลเพิ่มพลังโจมตีธาตุ (Element Attack, Critical Element) ดี หรือเพิ่มทั้งคู่? หากเพื่อนๆ อ่านการนอกเรื่องข้างบนแล้ว ก็จะได้คำตอบได้ไม่ยากว่า ให้เน้นที่ธาตุนั่นเอง

แต่ในทีนี้แบบนั้นเพื่อนๆ ก็จะยังมีข้อสงสัยว่า ทำไม มันเพิ่มไม่คุ้มหรือกะไร ขนาดไหนถึงเรียกว่าไม่คุ้ม จึงเป็นที่มาของหัวข้อนี้นั่นเอง โดยหมาจะทำการอธิบายเปรียบเทียบถึงการใช้ธนูคันเดียวกันเพิ่มสกิลโจมตีกายภาพและธาตุ เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น


Monster-Hunter-World-Bow

เป้าหมายในการทดลองของเราก็จะเป็นเจ้า Legiana เนื่องจากมีค่า Hit Zone ส่วนหัวที่น่าสนใจในการทดลองให้เห็นภาพระดับหนึ่งอยู่ที่ ยิง 60 และสายฟ้า 25 ซึ่งจัดว่าค่อนไปทางสูงทั้งคู่ และอยู่ในกลุ่มจุดอ่อนที่ดีของมอนสเตอร์ทั่วไปอยู่ ธนูที่หมาใช้ทดลองนั้นก็จะเป็น Kulve Taroth “Thunder” ที่มีค่าพลังโจมตีที่ 228/360 และมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้
  • Free Element level 3 (ปลดล๊อคธาตุสายฟ้าแพะเต็มจำนวน)
  • Normal Shot Up (พลังโจมตีกายภาพของ Normal Shot +10%)
  • Spread Shot Up (พลังโจมตีกายภาพของ Power Shot +10%)
  • Mighty Bow (เพื่อชาร์จเลเวล 4)
  • ใช้ Close Range Coating (พลังโจมตีกายภาพ +20%)


Monster-Hunter-World-Bow

ผลของตัวเลขที่ออกมาก็จัดว่ารุนแรงน่าสนใจเลยทีเดียว โดยหลังจากนี้หมาจะขอเน้นไปที่ Charged Shot (CS) Lv 4 และ Power Shot (PS) Lv 4 แบบติดคริติคอล(แถวสีแดง)เป็นหลักนะเอ้อ และเพื่อความสะดวกของเพื่อนๆ จะได้ไม่ต้องนั่งเทียบทีละรูปยาวๆ หมาจะขอใช้เป็นตารางแทนรูปแทนละกันจ้า (ถ้าใครสงสัยลองเทียบกับใน Honeyhunter เองก็ได้นะจ๊ะ)


Monster-Hunter-World-Bow

จะเห็นได้ว่าแม้ว่าจะมีแต้มต่อให้ทางฝั่งกายภาพมากถึง 30% จาก Coating และ Shot Up แต่เมื่อปั้มสกิลเพิ่มฝั่งโจมตีในของแต่ละฝั่งกันสุดๆ แล้ว ก็ยังแพ้ทางฝั่งธาตุอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก (ประมาณ 5-6%) เพียงแค่ถ้ามองจากในแง่ของการจัดชุดแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าทางฝั่งกายภาพจะจัดได้ยากกว่ามาก เนื่องจากการกินแต้มที่มหาศาลของสกิล Attack Up ที่หากต้องการเต็มนั้น การจะจัดชุดให้มีสกิลอื่นที่ต้องการครบนั้นเป็นไปได้ยากมาก และนี่ยังไม่รวมถึงการต้องจัดให้มีสกิล Weakness Exploit, Critical Eye อีกนะถ้าอยากรีดให้สุดจริงๆ

เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่า อ้าว ก็นี่มันธนูธาตุนี่นา จัดธนู Cera Coilbender มาเลยดีกว่า รับรองแรงแน่นอน ซึ่งหมาก็จัดให้ โดยมีสกิลเพิ่มเข้าไปอีกนั่นคือ Non-Elemental และเอา Free Element ออกเพื่อให้สุดของความเป็นกายภาพจริง เรียกว่านอกจาก Attack Up 7, Critical Boost 3 แล้ว Perk Performance 3 ก็ยังแถมให้อีก ผลที่ได้ก็ออกมาเป็น…


แพ้แบบไม่มีหูรูดเลยจ้า นี่ขนาดแถมสกิลให้มากกว่าคนอื่นแล้วน้า น่าจะพอทำให้เพื่อนๆ เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมธนูจึงควรใช้ให้ธนูธาตุให้เหมาะกับเป้าหมายเสมอ เพราะความแตกต่างกันมันเยอะขนาดนี้นี่เอง


หาเสาปีนยากโพดๆ

แน่นอนว่าบางท่าการโจมตีของธนูนั้นก็จะใช้ค่า Motion Value ของกายภาพเป็นหลัก เช่น Dragon Piercer (ท่านั่งยิง) หรือ Aerial Attack (ปีนเสา/ผนังยิงสาด) ท่าทั้งสองนี้จะใช้พลังโจมตีกายภาพเป็นหลักในการคำนวนและมีผลธาตุน้อยมากๆ จึงทำให้ธนูกายภาพสาย Dragon Piercer ยังจัดว่าเป็นอีกหนึ่งในสายที่ยังใช้งานได้อยู่ (ในขณะที่สาย Aerial Attack มีพื้นที่บังคับใช้จนใช้งานทั่วไปไม่ได้เลย)


เอาออกไป๊ Attack เนี่ย

ควรให้ความสำคัญกับสกิลยังไงดี?
ตรงนี้ก็ต้องขอป้องกันตัวเองนิดนึงว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของหมาในแง่ของการรีดความเสียหายด้วยธนู ถ้าว่ากันด้วยลำดับความสำคัญของสกิลต่างๆ แล้ว เราจะให้อันดับความสำคัญกับการเล่นธนูดังนี้

  • การบริหารค่า Stamina ด้วยสกิล Constitution 3 (หรือใช้ไอเทม Dash Juice กินข้าวแมว Black Belt ช่วย)
  • การเพิ่มค่าคริติคอลด้วยสกิล Weakness Exploit 3 (เพิ่มค่าคริติคอลเมื่อยิงจุดอ่อน 50%!)
  • การใส่ชุด Rathalos* ใดๆ สองชิ้นเพื่อเปิดเซ็ทสกิล Critical Element (เพิ่มพลังโจมตีธาตุเมื่อติดคริติคอล +35%)
    • *ชุด Rathalos, Rath Soul, Azure Starlord สามารถใช้ร่วมกันได้และนับเป็นเซ็ทเดียวกัน*
  • การหาเพชรสกิล Mighty Bow มาใช้เปิดสกิล Bow Charge Plus ที่จะช่วยให้เราใช้ชาร์จขั้นสี่ได้
  • การเพิ่มสกิลโจมตีธาตุ (Elemental Attack) ของธนูนั้นๆ ให้สูงขึ้น ตั้งแต่ 2-4 โดยดูว่าที่หน้าจอสเตตัสว่าตัวเลขตันเป็นสีเหลืองส้มแล้วหรือยัง และถ้าตันแล้ว ลดลง 1 ขั้นจะลดไปมากไหม
    • ถ้าหายไป 10 หน่วย ถือว่าไม่คุ้มที่จะทำให้ตัน แต่ถ้าไม่มีอะไรจะใส่แล้วก็ไม่เสียหาย AKA Critical Eye เต็มแล้ว
    • หายไป 20 หน่วย ถ้าเพิ่ม Critical Eye เลเวลต่อไปได้ +5% ให้เปลี่ยนเป็น Critical Eye แทน(ถ้าทำได้)
    • หายไปถึง 30 หน่วยขึ้นไป ให้ปล่อยไว้ คุ้มค่าแล้ว
  • เสริมพลังโจมตีเล็กน้อยด้วยสกิล Normal Shot Up และ Spread Shot Up ที่ถึงแม้จะเพิ่มในส่วนกายภาพ แต่ธนูของเราก็ไม่ได้ยิงได้แค่ธาตุเนอะ
  • ปิดท้ายรายการด้วยการเพิ่มเติมสกิล Critical Eye เสริมไปในชุดเพื่อเร่งอัตราคริติคอลให้สูงขึ้น ทำให้พลังโจมตีทั้งกายภาพและธาตุของเราแรงขึ้น
  • อย่างไรก็ดี การเล่นธนูนั้น อย่างที่หมาได้เคยพูดถึงบ่อยๆ ว่า ตัวสกิล Bow Charge Plus, Shot Up ทั้งสองชนิดหรือแม้กระทั่ง Critical Eye นั้น ไม่ได้เป็น CORE หรือแก่นหลักของการเล่นธนูเลย ในทางกลับกัน สกิลที่จำเป็นจริงๆ คือ Weakness Exploit, Critical Element และ Constitution ที่ช่วยให้การเล่นธนูสามารถรีดความเสียหายได้มากจริงๆ มากกว่า สกิลในตอนแรกเป็นเพียงของตกแต่งหน้าเค๊กที่อร่อยอยู่แล้วให้มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ถึงจะยังไม่มีสกิลดังกล่าว ความเป็นเค๊กที่อร่อยก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด แค่อาจจะรู้สึกว่ามันไม่เต็มที่เท่านั้น (แต่ถ้ามีแล้วควรใส่เอาไว้ เค๊กที่มีหน้าเค๊กย่อมสวยงามน่าทานกว่าเค๊กเปล่าๆ)

เหตุผลที่หมาให้การบริหารค่า Stamina เป็นอันดับ 1 นั้นก็อยู่ที่ แม้จะโจมตีได้รุนแรง แต่ถ้าค่า Stamina หมดไว การโจมตีที่ควรจะรวดเร็วต่อเนื่อง ก็จะไม่ต่อเนื่องและเสี่ยงต่อการที่ไม่มีค่า Stamina ไว้หลบหลีกจนพลาดโดนโจมตีได้ง่าย = เสียจังหวะที่ควรจะใช้ในการโจมตีได้มากขึ้นไปอีกนั่นเองจ้า


KT

สรุปเหตุผลที่ธนูใช้ธาตุแรงกว่า

จากเหตุผลต่างๆ ดังกล่าวแล้ว เราจึงได้ข้อสรุปว่า ธนูนั้นให้เน้นที่การโจมตีธาตุจะทำให้สามารถรีดความเสียหายได้สูงสุด เนื่องจากธนูนั้นสามารถโจมตีได้รัวและเร็ว ค่าความเสียหายธาตุจะแสดงผลได้สูงกว่ากายภาพมาก และเมื่อรวมกับการใช้สกิลเสริมการโจมตีธาตุ ไม่ว่าจะเป็น Critical Element, Element Attack ต่างๆ จะทำให้มันเป็นอาวุธที่รุนแรงและทรงพลังมากกว่าที่คาดคิดเลยทีเดียว

ซึ่งความแตกต่างของธนู(มีธาตุและชนะทาง)ที่ดันค่าพลังโจมตีกายภาพจนสูงสุด กับธนูที่ดันค่าพลังโจมตีธาตุจนสูงสุดนั้น อาจจะแตกต่างกันไม่มาก แต่ในแง่ของการจัดชุดให้มีสกิลอื่นครบนั้นยากมาก เนื่องจากจำนวนแต้มสกิลที่ต้องใช้นั้นเยอะมากเมื่อเทียบกับชุดสายธาตุโดยตรง (แถมยังเบากว่าด้วย) และถ้าเป็นธนูกายภาพเพียวๆ จะเบากว่ากันจนขี้เหร่เลยทีเดียว

บทความนี้ก็หวังว่าจะช่วยเพื่อนๆ ที่ลองหัดเล่นธนู ให้เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมคนที่เล่นธนูถึงแนะนำให้ยอมเสียเวลาจัดชุดแต่ละธาตุ ทำธนูแต่ละธาตุให้วุ่นวาย เพราะการจะดึงประสิทธิภาพสูงสุดของธนูออกมาได้นั้น มันอยู่ที่การเข้าใจธรรมชาติของมันและธาตุนั่นเองจ้า

*แซวจากรูปปก : ธนูสาย blast มันคือธนูสายกายภาพที่เบายิ่งกว่า Cera แบบจัดเต็มนั่นเองจ้า*
ดาบคู่ - Dual Blades



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(5) โจมตีธาตุ(9) โจมตีสเตตัส(8) โจมตีขี่(5)

ป้องกัน(0) ความคล่องตัวตอนโจมตี(6) ความคล่องตัวตอนหลบ(7)

ความยากตอนเริ่มใช้(6) ความยากในการใช้ให้คล่อง(8) ความยากในการฝึกใช้(7)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท Blademaster ที่เน้นความว่องไวในการโจมตีแลกกับความเสี่ยงตาย หรือ สายแอสซาซินที่การเข้าไปล้วงและเกาะติดอยู่กับเป้าหมายจนกว่าจะตาย


ข้อดี
  1. โจมตีเร็วที่สุดในเกม
  2. เคลื่อนไหวเร็วตอนถืออาวุธและชักอาวุธไว
  3. พลังโจมตีธาตุและสเตตัสสูง
  4. โหมด “มาร” ยิ่งทำให้พลังโจมตีสูงขึ้นไปอีก
  5. ท่าโจมตีกลางอากาศให้โอกาสสวมบทบาทเป็นตัวละครจาก “ผ่าพิภพไททั่น”
ข้อเสีย
  1. ระยะตีสั้นที่สุดในเกม
  2. การ์ดไม่ได้
  3. ต้องคอยบริหารเกจความเหนื่อยในโหมด “มาร”
  4. ท่าหลายๆท่าล็อกตัวละครให้อยู่กับที่
  5. สไตล์การเล่นเสี่ยงตาย
  6. อาวุธหายคมไว
สิ่งที่ผู้เล่นมักเข้าใจผิด

ดาบคู่เป็นอาวุธ Hit n' Run (ตีแล้วถอยออก)
ดาบคู่ทำแดมเมจได้น้อยกว่าอาวุธชนิดอื่น
แดมเมจของดาบคู่อยู่ที่ท่าใหญ่

สไตล์การเล่น

Dual Blades หรือ DB หรือดาบคู่ คืออาวุธที่มีความเร็วในการโจมตีสูงที่สุด และพลังโจมตีที่สูงในช่วงระยะเวลาหนึ่งถ้ามีโอกาสใช้คอมโบ รวมทั้งยังมีโหมด “มาร” ที่เน้นย้ำจุดเด่นของดาบคู่ให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการโจมตีต่อฮิตที่เบาที่สุด ทำให้ไม่สามารถเล่นแบบฉาบฉวย ทั้งยังมีระยะการโจมตีที่สั้น รวมถึงคอมโบบางท่าที่ล็อกตัวละครอยู่กับที่ และต้องคอยบริหารความเหนื่อยตอนอยู่ในโหมด “มาร”

สไตล์การเล่นของดาบคู่นั้น เกือบเหมือนกับดาบโล่ห์ที่เน้นการโจมตีส่วนขาของมอนสเตอร์เพื่อทำให้ล้มลง ก่อนที่จะเลือกส่วนต่อไปที่จะโจมตีเพื่อทำแดมเมจ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือแดมเมจที่ดาบคู่ทำได้สูงกว่ามาก ซึ่งต้องขอบคุณโหมด “มาร” ที่เป็นโหมดพิเศษของดาบคู่โดยเฉพาะ โหมดดังกล่าวนี้เปลี่ยนท่าโจมตีของอาวุธให้มีความรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้แดมเมจที่ทำสูงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการโจมตีแบบธาตุที่ทะลุเกินกว่าดาบโล่ห์จะทำได้หากเทียบในระยะเวลาเดียวกัน รวมถึงการโจมตีแบบสเตตัสที่พอจะเทียบเคียงกันได้

ความหลากหลายของดาบคู่คืออีกสิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึง เนื่องด้วยดาบคู่บางสายจะผสมการโจมตีแบบธาตุและสเตตัสอยู่ในอาวุธอันเดียวกัน ทำให้ผู้เล่นดาบคู่มีตัวเลือกในการเล่นที่มากขึ้นและพิเศษกว่าอาวุธประเภทอื่นๆในเกม

กระนั้นโหมด “มาร” นี้ก็มีข้อเสียของการที่ซดเกจความเหนื่อยต่างน้ำ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อการกดหลบในเกมนี้ก็ใช้เกจความเหนื่อยนี้ด้วย ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องบริหารเกจความเหนื่อยให้ดี มิฉะนั้นจะทำให้แดมเมจที่ทำได้ลดน้อยลงไปมาก เนื่องจากแดมเมจส่วนใหญ่ที่ดาบคู่ทำได้นั้นมาจากตอนที่อยู่ในโหมด “มาร”

และหากท่านได้เคยเล่นเกมแอคชั่นมาบ้างจะทราบได้ว่าเวลาหลบนั้น ตัวละครในเกมจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เป็นอมตะอยู่ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเรียกกันว่า Invincibility Frame หรือ I-Frame ด้วยความที่ดาบคู่นั้นมีสไตล์การเล่นแบบสุดโต่งไปในทางโจมตี ทำให้เมต้าของดาบคู่นิยมการใช้ท่าโจมตีท่าหนึ่งแทนการหลบ ซึ่งช่วยในเรื่องของการลดการใช้เกจความเหนื่อยลง รวมทั้งเพิ่มแดมเมจโดยรวมให้มากขึ้น แต่ข้อเสียนั้นก็คือการที่ท่าดังกล่าวไม่มี I-Frame ทำให้ต้องใช้การกะระยะให้หลุดออกจากการโจมตีของมอนสเตอร์แทน ส่งผลให้การใช้ดาบคู่ให้เชี่ยวชาญนั้นมีความยากสูงกว่าดาบโล่ห์พอสมควร

อีกสิ่งหนึ่งที่ดาบคู่เสียเปรียบอาวุธพี่อาวุธน้องอย่างดาบโล่ห์ก็คือความสมูธ ทั้งในการเคลื่อนไหว(หลบ)และการโจมตี ด้วยความที่คอมโบต่างๆของดาบคู่นั้น จะมีท่าบางท่าที่ล็อกตัวละครให้อยู่กับที่ตอนที่ท่านั้นถูกใช้ ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถหลบได้ในขณะนั้นๆ และถึงแม้ว่าดาบคู่จะสามารถเปลี่ยนองศาการโจมตีได้ แต่ก็ข้อแม้ที่ทำให้มันไม่สะดวกและง่ายเท่าเมื่อเทียบกับดาบโล่ห์

ในปาร์ตี้นั้น ตำแหน่งการยืนของดาบคู่จะเหมือนกับดาบโล่ห์คือพัวพันบริเวณขา และเน้นการขัดให้มอนสเตอร์ล้มลง หลังจากนั้นคือช่วงเวลาที่ดาบคู่ได้โชว์แดมเมจของตัวเอง เพราะจุดใดที่ดาบคู่โจมตีนั้นแทบจะการันตีว่าชิ้นส่วนในจุดๆนั้นจะถูกทำลาย/ขาดก่อนที่มอนสเตอร์จะลุกขึ้นยืนได้ และท่าโจมตีตอนสไลด์ของดาบคู่(ท่าไททั่น)นั้น แม้จะกะระยะยากและต้องระวังพอสมควร แต่หากใช้ถูกตัวมอนสเตอร์แล้วก็รับประกันแดมเมจที่สูงเป็นรองเพียงท่าไม่กี่ท่าของอาวุธประเภทอื่นๆอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกันกับดาบโล่ห์ ดาบคู่เน้นการทำแดมเมจแบบธาตุ และสามารถเล่นในสายสเตตัสได้ หรือผสมแดมเมจทั้งสองประเภทเข้าด้วยกันในบางสายของอาวุธ ดาบคู่จึงมักจะอยู่ในแนวหน้าของปาร์ตี้ ในเรื่องของการทำแดมเมจธาตุและการทำให้มอนสเตอร์ติดสเตตัส หรือทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน

โดยรวมแล้ว ดาบคู่คือดาบโล่ห์ที่ทิ้งความปลอดภัยในการการ์ดเพื่อแลกมากับพลังและความเร็วในการโจมตีแบบสุดขีด และยังคงความสามารถในการทำให้มอนสเตอร์ติดสเตตัสเอาไว้ ซึ่งเหมาะกับคนที่คุ้นชินและชื่นชอบสไตล์การหลบพัวพันอยู่ใกล้ๆตัวศัตรูแต่ต้องการเกมเพลย์และคอมโบที่รวดเร็วกว่าของดาบโล่ห์ แต่กระนั้นก็แลกมาด้วยความยากและเสี่ยงในการเล่นที่มากยิ่งขึ้น รวมถึงการสละบางส่วนของดาบโล่ห์ทิ้งไป ซึ่งรวมไปถึงความสมูธของการหลบและเคลื่อนไหวระหว่างคอมโบ
ดาบยาว - Long Sword



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(7) โจมตีธาตุ(8) โจมตีสเตตัส(6) โจมตีขี่(6)

ป้องกัน(0) ความคล่องตัวตอนโจมตี(7) ความคล่องตัวตอนหลบ(9)

ความยากตอนเริ่มใช้(6) ความยากในการใช้ให้คล่อง(8) ความยากในการฝึกใช้(7)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท Brawler/Warrior หรืออาชีพอื่นๆสายพริ้ว ที่เน้นคอมโบและปิดท้ายด้วยท่าใหญ่ หรือ สายไฟต์เตอร์คลุกวงใน ที่เน้นการโจมตีระยะประชิดไปเรื่อยๆก่อนจะปิดท้ายด้วยท่าใหญ่ยามที่มีโอกาส


ข้อดี
  1. ราชาแห่งคอมโบ
  2. แดมเมจดี
  3. โจมตีไว
  4. ระยะการตีไกลและกว้าง
  5. เกจดาบเพิ่มการโจมตีให้ทั้งท่าธรรมดาและท่าปิด
  6. วิ่งไวเมื่อชักดาบ
  7. มีท่าตีพร้อมหลบ
  8. มีท่าหลบแล้วเคาท์เตอร์
  9. ซามูไร!!!
ข้อเสีย
  1. โหล
  2. การ์ดไม่ได้
  3. คอมโบเต็มใช้ยากและใช้เวลานาน
  4. แดมเมจจะดีหรือแย่ขึ้นอยู่กับเกจดาบ
  5. ความคมหายไวพอสมควร
  6. เจาะจงการตีเฉพาะจุดยาก
  7. อันดับหนึ่งอาวุธที่ปาร์ตี้เกลียด
  8. โหล
สิ่งที่ผู้เล่นมักเข้าใจผิด
  1. ต้องเล่นแบบ Hit n’ Run (ตีแล้วหนี)
  2. ต้องใช้การกลิ้งหลบในการหลบเท่านั้น
  3. ต้องกดแต่คอมโบชุดใหญ่
  4. เกจดาบเป็นแค่ฟังก์ชั่นรอง/ไม่จำเป็น

สไตล์การเล่น

Long Sword หรือ LS หรือดาบยาว(หรือดาบซามูไร)คือน้องชายแท้ๆของดาบใหญ่ ที่ทิ้งแดมเมจต่อฮิตไปแล้วเปลี่ยนตัวเองให้กลายมาเป็นอาวุธที่โจมตีได้ไว สนุก คล่อง สมดุลทั้งรุกทั้งรับ แต่ยังคงระยะของอาวุธไว้ ทำให้ดาบยาวเป็นหนึ่งในอาวุธที่คอมโบได้พลิ้วไหวที่สุดในเกม

ดาบยาวใช้สไตล์การเล่นคล้ายๆดาบโล่ห์และดาบคู่ มากกว่าพี่ชายอย่างดาบใหญ่ เพราะพลังโจมตีต่อฮิตที่น้อยกว่า ทำให้ต้องโจมตีต่อเนื่องมากกว่า ซึ่งทำให้ดาบยาวกลายมาเป็นอาวุธที่มีคอมโบมากกว่าและซับซ้อนกว่าดาบใหญ่ แต่ต้องขอบคุณความสามารถในการโจมตีไปด้วยหลบไปด้วย รวมถึงการหลบแล้วเคาท์เตอร์ ที่ทั้งหมดสามารถต่อคอมโบด้วยกันได้ ทำให้คอมโบของดาบยาวลื่นไหลและไม่สะดุด ดาบยาวจึงมักจะทำแดมเมจได้พอกันหรือมากกว่าแต่เสี่ยงในการคลุกวงในน้อยกว่าสองอาวุธข้างต้น

ระบบพิเศษของดาบยาวนั้นคือเกจดาบ ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อทำการโจมตี และท่าปิดคอมโบใหญ่นั้นจะทำให้เลเวลของเกจดาบเพิ่มขึ้น เลเวลสุดท้ายของเกจดาบนั้นส่งผลให้ท่าใหญ่ของดาบยาวมีพลังโจมตีเพิ่มประมาณสองเท่าจากเดิม ไม่รวมกับแดมเมจจากท่าโจมตีธรรมดาอีก และด้วยระยะการโจมตีที่ยาวพอๆกับดาบใหญ่ แต่กว้างและสูงมากกว่าในบางจังหวะคอมโบ ซึ่งเป็นดาบสองคมที่ทำให้ดาบยาวมีความสามารถเทียบเท่าหรือมากกว่าในการจู่โจมส่วนที่อยู่สูงของมอนสเตอร์ในหลายๆสถานการณ์ แต่ก็เจาะจงไปยังจุดใดจุดหนึ่ง โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่ค่อนข้างเล็กได้ยากกว่าดาบใหญ่

แต่เหมือนกับซามูไรที่อยู่หรือตายด้วยศักดิ์ศรี แดมเมจของดาบยาวอยู่หรือตายด้วยการบริหารเกจดาบและการออกคอมโบ แดมเมจของดาบยาวที่ไม่สามารถบริหารเกจดาบและใช้คอมโบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ยังดูจะน้อยกว่าดาบคู่หรือกระทั่งดาบโล่ห์เสียอีก

และด้วยความที่ท่าหลบแบบพิเศษทั้งสองท่าของดาบยาว สามารถต่อเข้ากับคอมโบที่จบด้วยการเพิ่มเกจดาบได้ ทำให้ผู้ใช้ดาบยาว ต้องฝึกฝนจังหวะการใช้ท่าทั้งสองท่านี้ให้เชี่ยวชาญเสียก่อน จึงจะสามารถเพิ่มแดมเมจโดยรวมให้มากขึ้นได้ และยังช่วยลบจุดด้อยของบางจังหวะในคอมโบที่หลบกลางคันได้ยากหากใช้การหลบแบบธรรมดาด้วย

ในปาร์ตี้นั้น ดาบยาวคือมือวางในการตัดหางและทำลายส่วนที่อยู่สูงของมอนสเตอร์รองลงมาจากดาบใหญ่ และเป็นผู้ทำแดมเมจแบบสม่ำเสมอ ไม่เหมือนกับแดมเมจที่ทะลุปล้องเป็นช่วงๆของดาบใหญ่ แต่ผู้เล่นจำเป็นต้องระวังระยะการโจมตีของคอมโบที่มีความกว้างให้ดีและเลือกจุดโจมตีให้ถูกที่ เพราะความที่ระยะกวาดของดาบยาวสามารถทำให้สมาชิกสะดุดและหยุดโจมตี ที่ในบางครั้งอาจส่งผลให้สมาชิกถูกมอนสเตอร์โจมตีได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดาบยาวเป็นหนึ่งในอาวุธที่ปาร์ตี้ค่อนข้างยี้มาเป็นเวลานาน

ดาบยาวคือบรู๊ซลีของมอนสเตอร์ฮันเตอร์ ที่เน้นการจู่โจมต่อเนื่อง และหลบหลีกด้วยความพลิ้วไหวก่อนจะจู่โจมกลับและวนลูปไปเรื่อยๆ จึงเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบคอมโบในเกมแอคชั่นอื่นๆ โดยที่ยังมีพลังโจมตีที่สูงหากฝึกจนเชี่ยวชาญ และมอบประสบการณ์พิเศษที่อาวุธอื่นๆเทียบเท่าไม่ได้ แต่หากไม่สามารถฝึกฝนลงลึกจนเข้าฝักได้แล้ว ดาบยาวจะกลายเป็นอาวุธเกรดกลางๆที่ทำให้คนเล่นเบือนไปหาอาวุธอื่นที่ดูจะเข้าท่ากว่าและคนในปาร์ตี้มักจะสาปส่งเอาได้
ดาบใหญ่ - Great Sword



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(10) โจมตีธาตุ(6) โจมตีสเตตัส(5) โจมตีขี่(6)

ป้องกัน(5) ความคล่องตัวตอนโจมตี(6) ความคล่องตัวตอนหลบ(6)

ความยากตอนเริ่มใช้(5) ความยากในการใช้ให้คล่อง(8) ความยากในการฝึกใช้(6)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท Monk/Berserker ที่เน้นแดมเมจหนักๆหรือแลกเลือดเพื่อทำแดมเมจต่อเนื่อง หรือ สายเมจที่ไม่ค่อยมีสกิลเคลื่อนไหวแต่ทำแดมเมจถึงตายได้ในสกิลชุดเดียว


ข้อดี
  1. แดมเมจสูง
  2. การชาร์จตีทำให้แดมเมจต่อครั้งสูงที่สุดในเกม
  3. การชาร์จตีทำให้มอนสเตอร์สะดุ้ง(เนื่องจากแดมเมจถึง)บ่อย
  4. ระยะตีไกล
  5. เสียความคมช้ากว่าอาวุธชนิดอื่น
  6. การ์ดได้
  7. แดมเมจ!!!
ข้อเสีย
  1. เดินช้าและตีช้า
  2. การฝึกการกะระยะและจังหวะจำเป็นมาก
  3. ต้องเล่นแบบ Hit n’ Run (ตีแล้ววิ่งออก)
  4. แม้จะการ์ดได้ แต่ไม่สามารถเล่นสไตล์เต่า(การ์ดค้างแบบหอก)ได้
สิ่งที่ผู้เล่นมักเข้าใจผิด
  1. ดาบใหญ่รู้ท่าหมดก็เล่นได้
  2. ต้องชาร์จทุกครั้งที่โจมตี
  3. ต้องคอมโบให้จบทุกครั้ง
  4. ต้องตีมอนสเตอร์ตลอดเวลา

สไตล์การเล่น

Great Sword หรือ GS หรือดาบใหญ่ คืออาวุธที่เทอะทะ เชื่องช้าทั้งการโจมตีและการหลบ รวมทั้งมีคอมโบที่ใช้เวลานาน แต่ก็มีระยะการตีที่ยาวกว่าอาวุธอื่น รวมทั้งยังมีพลังโจมตีต่อฮิตที่สูงอันดับต้นๆของเกม ถึงแม้จะไม่ได้ชาร์จโจมตีก็ตาม นอกจากนี้ยังเป็นอาวุธที่จับง่ายและฝึกง่าย แต่ยากและต้องเรียนรู้พอสมควรที่จะใช้ให้ชำนาญ

ด้วยความเชื่องช้าของตัวอาวุธเอง ที่แม้กระทั่งคอมโบพื้นฐานก็ใช้เวลาพอๆกับท่าใหญ่ของอาวุธบางชนิด ทำให้สไตล์การเล่นของดาบใหญ่เน้นไปที่การโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งแล้วหลบออกหรือ Hit n’ Run ซึ่งสามารถทำได้เพราะพลังโจมตีต่อฮิตที่สูงบวกกับสกิลพิเศษของตัวอาวุธอย่างการ “ชาร์จ” ที่แทบจะเพิ่มแดมเมจเป็นสองเท่า รวมทั้งยังมีคอมโบชาร์จโดยเฉพาะอีก

ทั้งหมดนี้ทำให้แม้ดาบใหญ่จะตีน้อยครั้งกว่า แต่ก็สามารถทำแดมเมจได้พอๆหรือมากกว่าอาวุธชนิดอื่นๆ ส่งผลให้ความคมของอาวุธลดลงช้ากว่าและรีดแดมเมจได้เยอะกว่าเมื่อวัดกันในระดับความคมเท่าๆกัน ประกอบกับระยะการโจมตีที่ยาวกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา ทำให้ดาบใหญ่โจมตีส่วนของมอนสเตอร์ที่มักจะอยู่สูงอย่าง หาง หรือปีกได้ง่าย ทั้งยังสามารถยกดาบขึ้นกันได้ด้วยความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพกินดาบโล่ห์นิดๆ

นอกจากนี้ในภาค MHW ดาบใหญ่ยังสามารถแคนเซิลท่าชาร์จเพื่อเปลี่ยนมาเป็นการกระแทกศัตรูอย่างรวดเร็วแทน ที่เมื่อรู้จังหวะการใช้แล้วและโฟกัสไปที่การเล่นสไตล์กึ่งบ้าเลือดแล้ว ก็จะเพิ่มมิติการเล่นไปได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง

แต่ความง่ายในการเริ่มและฝึกใข้นั้น ไม่ได้ลดความยากในการใช้ดาบใหญ่ให้คล่องลงแต่อย่างใด ด้วยความเชื่องช้าจึงต้องเน้นไปที่การโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งก่อนจะถอยออกนั้น ผู้เล่นต้องสามารถกะระยะการโจมตีให้ถูกต้อง รวมทั้งต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับมอนสเตอร์แต่ละตัว และสามารถหาช่องทางและจังหวะในการโจมตีได้จึงไม่ผิดนักที่จะบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการใช้ดาบใหญ่นั้น คือการจับระยะและจังหวะในการโจมตี ทั้งของตัวผู้เล่นเองและของมอนสเตอร์แต่ละตัวในเกมด้วย

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ แม้จะสามารถการ์ดได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรใช้การการ์ดมากนัก และไม่สามารถจะเล่นสายกันเพียวๆได้ เพราะความที่ไม่มีท่าโจมตีต่อจากการการ์ด และกินความคมของอาวุธเวลาที่กัน จึงเหมือนกับดาบโล่ห์ที่เน้นใช้กันเสียงคำรามหรือยามจวนตัวจริงๆ ซึ่งพึ่งพาได้มากกว่าดาบโล่ห์อยู่นิดหน่อย

ดาบใหญ่จะปล่อยให้เพื่อนทำสเตตัสหรือ CC ให้ ก่อนที่จะใช้พลังโจมตีทางกายภาพเพียวๆเพื่อขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งท็อปแดมเมจของทีม โดยมักรับหน้าที่เป็นนักสับหางและชาร์จฟันระเบิดประจำปาร์ตี้ หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังจุดที่คนอื่นเอื้อมถึงได้ยาก อย่างหลังหรือปีกแทน ซึ่งผลพลอยได้อีกอย่างที่ปาร์ตี้จะได้รับจากดาบใหญ่ก็คือการชะงักบ่อยๆของมอนสเตอร์ที่ช่วยพลิกสถานการณ์ได้ในบางจังหวะเวลา

โดยรวมแล้ว ดาบใหญ่คือดาบยาวที่ทิ้งความพลิ้วไหวมาเสริมเป็นพลังการโจมตีแทน เหมาะกับสายสโลวไลฟ์ ผู้ที่ชื่นชอบการเห็นแดมเมจหนักๆด้วยการโจมตีไม่กี่ครั้งผ่านสไตล์ตีแล้ววิ่งหนี และสามารถที่จะทำลายมอนสเตอร์หลายๆตัวลงได้ด้วยคอมโบชาร์จหากมีโอกาส แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความอืดอาด และการใช้อาวุธให้ได้เต็มประสิทธิภาพ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้จังหวะและระยะของตัวเองและมอนสเตอร์มากกว่าอาวุธชนิดอื่นๆภายในเกม
ค้อน - Hammer



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(9) โจมตีธาตุ(6) โจมตีสเตตัส(5) โจมตีขี่(5)

ป้องกัน(0) ความคล่องตัวตอนโจมตี(5) ความคล่องตัวตอนหลบ(6)

ความยากตอนเริ่มใช้(6) ความยากในการใช้ให้คล่อง(7) ความยากในการฝึกใช้(6)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท กึ่ง Knight กึ่ง Swordman หรืออาชีพอื่นๆที่เน้นการควบคุมและโจมตีศัตรูด้วยพลังมหาศาล หรือ สายไฟต์เตอร์ ที่เน้นการ CC ศัตรูด้วยการสตั้น


สไตล์การเล่น

Hammer หรือ HM หรือ ค้อนนั้นมีคติคือทรงพลังแต่เรียบง่าย และแฝงไว้ด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวที่เร็วจนน่าตกใจ ทั้งยังเด่นด้วยความเป็นอาวุธประเภททุบแบบเพียวๆ แต่พลังดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยความช้าในการโจมตี ระยะอาวุธที่สั้น และเหมือนกับดาบใหญ่ที่ต้องใช้การจับจังหวะมากเป็นพิเศษ

สไตล์การเล่นของค้อนคือสไตล์ตีแล้วหนี ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ไวเป็นพิเศษ พร้อมกับพลังโจมตีที่ไม่ห่างกับอาวุธอย่างดาบใหญ่เท่าไหร่ ทั้งการโจมตีธรรมดาแบบชาร์จ ซึ่งรวมๆแล้วดูจะเรียบง่ายที่สุดในเกม แต่จุดเด่นที่สุดของค้อนคือการที่ทำแดมเมจแบบ “ทุบ” ได้สูงที่สุดในเกม หมายความว่าเมื่อโจมตีส่วนหัวของมอนสเตอร์ถึงจุดๆหนึ่ง จะทำให้มอนสเตอร์ติดสตั้น ล้มลงแล้วทำอะไรไม่ได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง นอกจากนั้นเมื่อโจมตีส่วนอื่นจะทำให้มอนสเตอร์เหนื่อยไวขึ้น ส่งผลให้ความเร็วในการโจมตีและเคลื่อนไหวช้าลง และยืนนิ่งไปเลยในบางขณะ

และแดมเมจประเภททุบนี้ยังสามารถทำลายชิ้นส่วนประเภท เขา หลัง หรือปีก ได้ไวกว่าอาวุธที่ทำแดมเมจประเภทเฉือน แต่ก็มีข้อเสียที่ไม่สามารถตัดส่วนหางของมอนสเตอร์ได้ และระยะการโจมตีที่สั้นและแคบก็มีทั้งข้อดีอย่างช่วยทำโฟกัสแดมเมจเฉพาะจุดได้ง่ายขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องเข้าใกล้ตัวมอนสเตอร์มากกว่าอาวุธอย่างดาบใหญ่และทำให้เกิดปัญหาบ้างถ้ามอนสเตอร์บางตัวขยับยกส่วนหัวให้สูงขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

แม้จะมีพลังโจมตีต่อครั้งเป็นรองเพียงแค่ดาบใหญ่ แต่ก็มีความเชื่องช้าในการโจมตีเช่นเดียวกัน และด้วยระยะที่สั้น ทั้งยังไม่มีท่าใดทีช่วยในการหลบหลีกหรือป้องกัน และมักจะต้องอยู่ด้านหน้าของมอนสเตอร์เป็นประจำ ซึ่งมีความเสี่ยงอันตรายมากกว่า ทำให้ผู้เล่นค้อนจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนจังหวะการหลบให้คล่อง รวมทั้งต้องกะระยะการโจมตีของทั้งตัวเองและมอนสเตอร์ได้ดีพอในระดับหนึ่ง

เมื่ออยู่ในปาร์ตี้ ผู้เล่นค้อนคืออีกหนึ่งผู้นำในการทำแดมเมจ และมักจะจองสัมปทานช่วงส่วนหัวของมอนสเตอร์ เพื่อโฟกัสในการสตั้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าตีของเพื่อนร่วมทีม และช่วยให้หักเขาได้ไว โดยมีผลพลอยได้ในการทำให้มอนสเตอร์เหนื่อยไวขึ้น

โดยรวมแล้ว ค้อนคืออาวุธที่เน้นผลลัพธ์มากกว่าความตื่นตาตื่นใจ เหมาะกับผู้ที่ชอบเห็นมอนสเตอร์นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นจนกว่าจะตาย และมองว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตี ด้วยสไตล์ตีแล้วหนีที่ยังสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว แต่ต้องอาศัยการจับจังหวะทั้งการโจมตีและการหลบเป็นพิเศษ ทั้งยังไม่สะดวกนักหากต้องการตัดหางของมอนสเตอร์สำหรับผู้เล่นที่เน้นการโซโล่เป็นหลัก
ขลุ่ยค้อน - Hunting Horn



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(8) โจมตีธาตุ(7) โจมตีสเตตัส(7) โจมตีขี่(5)

ป้องกัน(0) ความคล่องตัวตอนโจมตี(7) ความคล่องตัวตอนหลบ(6)

ความยากตอนเริ่มใช้(6) ความยากในการใช้ให้คล่อง(10) ความยากในการฝึกใช้(8)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท Cleric หรือ Priest ที่เน้นบัฟแต่ก็ทำแดมเมจได้ด้วย หรือ สาย Support ระยะประชิด


ข้อดี
  1. อาวุธชนิดเดียวที่สามารถ “บัฟ” ทั้งตัวเองและคนในปาร์ตี้ได้แทบจะทุกรูปแบบ
  2. ระยะการโจมตีไกล(กว่าค้อน)
  3. โจมตีไว
  4. พอที่จะทำแดมเมจธาตุกับสเตตัสได้
  5. แม้ทำแดมเมจแบบทุบ แต่ก็ตัดหางได้(ด้วยท่าเฉพาะระยะประชิด)
  6. อาวุธชนิดเดียวที่พอจะเล่นสายซัพพอร์ตล้วน(และอาจจะไม่โดนด่า)ได้
  7. ซัพพอร์ต!!!
ข้อเสีย
  1. หนึ่งในอาวุธที่เล่นให้ชำนาญได้ยากที่สุดในเกม
  2. ต้องใช้ทักษะในการ Macromanagement (โจมตี+บัฟ+หลบ)
  3. จำเป็นต้องฝึกเยอะในเรื่องระบบยิบย่อยของอาวุธ
  4. องศาการโจมตีฝึกใช้ลำบาก
  5. เล่นสายซัพพอร์ตล้วนอาจจะถ่วงแดมเมจของทีม
  6. RIP กีตาร์


















สิ่งที่ผู้เล่นมักเข้าใจผิด
  1. ขลุ่ยค้อนคืออาวุธ “ซัพพอร์ต”
  2. ขลุ่ยค้อนทำแดมเมจได้น้อย
  3. ขลุ่ยค้อนใช้เล่นโซโล่ไม่ได้


สไตล์การเล่น

Hunting Horn หรือ HH หรือ ขลุ่ยค้อนคืออาวุธมาสค็อตของซีรี่ส์ MH เป็นอาวุธชนิดเดียวที่สามารถ “บัฟ” ทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมทีมได้ผ่านการบรรเลงเพลง มีพลังโจมตีที่ดี สามารถโจมตีได้ไว และมีระยะตีที่ไกล แต่ในขณะเดียวกัน ระบบยิบย่อยหลายๆอย่าง และความแปลกประหลาดในการเล่นทำให้ขลุ่ยค้อนเป็นหนึ่งในอาวุธที่เล่นได้ยากที่สุดในเกม

ขลุ่ยค้อนมีสไตล์การเล่นของค้อนที่ไม่มีชาร์จและโจมตีได้ไวกว่า แต่มีความพิเศษในการที่สามารถเล่นเพลงได้ ซึ่งเมื่อผสม “โน๊ต” ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละอาวุธแล้ว ก็จะเพิ่มบัฟให้ทั้งตัวผู้เล่นและสมาชิกในปาร์ตี้ได้ ด้วยความที่ขลุ่ยค้อนมีบัฟที่มีประโยชน์ในแทบจะทุกสถานการณ์ ทำให้มีความหลากหลายในการเล่นสูง และเป็นที่ต้องการของปาร์ตี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถทำแดมเมจได้ดี ไม่ว่าจะเป็นแดมเมจแบบทุบ แบบธาตุ หรือแบบสเตตัสก็ตาม จึงเหมาะสมจะใช้เป็นอาวุธโซโล่ไม่เหมือนกับความเชื่อที่ว่าขลุ่ยค้อนเป็นอาวุธซัพพอร์ตเพียงอย่างเดียว

ถึงแม้จะมีการกดคอมโบที่ง่ายและสั้น ทำให้จับใช้ได้ไม่ยากนัก ขลุ่ยค้อนกลับถือเป็นอาวุธที่มีช่วงเวลาในการเรียนรู้มากที่สุดในเกม และใช้ให้เชี่ยวชาญได้ยาก เนื่องจากจังหวะการตีและหลบ โดยที่ไม่รวมไปถึงองศาในการโจมตีที่แปลกไปจากอาวุธประเภทอื่นมาก และแม้จะมีระยะการโจมตีที่สูงและไกล จึงทำให้ผู้เล่นใหม่มักมีปัญหาโดยเฉพาะเมื่อต้องการโฟกัสไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของมอนสเตอร์เป็นพิเศษ

ขลุ่ยค้อนยังมีเคลื่อนไหวระหว่างคอมโบแบบพิเศษ โดยที่ตัวละครจะเคลื่อนไหวจากแรงเหวี่ยงของอาวุธไปในทิศทางต่างๆมากกว่าอาวุธอื่นๆ ทำให้ผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญสามารถหลบหลีกมอนสเตอร์ได้ในระหว่างการโจมตี โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้การหลบแบบปกติเลย แต่ในมือของผู้เล่นใหม่นั้น โมชั่นการเคลื่อนไหวดังกล่าวมักจะทำให้ผู้เล่นหลุดออกมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่พึงประสงค์ได้

แต่สิ่งที่ยากที่สุดของขลุ่ยค้อนคือการที่ต้องทำหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน เพราะขลุ่ยค้อนที่เน้นซัพพอร์ตอย่างเดียวจะลดแดมเมจของปาร์ตี้ให้ต่ำลง และขลุ่ยค้อนที่มุ่งแต่จะทำแดมเมจหรือสตั้นเพียงอย่างเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับค้อนเลย ฉะนั้นแล้ว การทำแดมเมจไปด้วยในขณะที่คอยทำให้บัฟของตัวเองและเพื่อนคงอยู่ตลอดการล่า คือจุดบ่งชี้ของความสามารถในการใช้ขลุ่ยค้อนอย่างแท้จริง

ในปาร์ตี้ บัฟของขลุ่ยค้อนเมื่อเลือกใช้ให้ถูกสถานการณ์คือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ การล่าที่ยากสามารถกลายเป็นขนมกรุบได้หากเลือกบัฟได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นเหตุผลที่ไม่มีอาวุธชนิดใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ขลุ่ยค้อนได้

นอกเหนือจากนั้นขลุ่ยค้อนเป็นผู้ถือสัมปทานลำดับสองรองจากค้อนในการตีหัวมอนสเตอร์ให้ติดสตั้นและทำให้มอนสเตอร์เหนื่อยตอนที่ทำแดมเมจในช่วงที่ยังไม่จำเป็นต้องบัฟ ทั้งยังสามารถเป็นตัวเลือกรองหากไม่มีคนทำสเตตัสแดมเมจได้อีก

โดยรวมแล้ว แม้จะฝึกและใช้ให้คล่องได้ยาก และมีความแปลกประหลาดในหลายๆอย่าง ขลุ่ยค้อนสามารถมอบประสบการณ์ที่ไม่มีใครเหมือนกับผู้เล่นที่เลือกใช้อาวุธชนิดนี้ได้ และเป็นอาวุธที่ใกล้เคียงกับสายซัพพอร์ตที่สุดในเกมซีรี่ส์นี้ ทั้งในการบัฟและสตั้นหรือทำให้มอนสเตอร์เหนื่อย โดยที่ไม่ได้ทิ้งความสามารถในการทำแดมเมจที่สมดุลในทุกๆด้านไป
ดาบโล่ห์ - Sword & Shield



















สเตตัสอาวุธสำหรับสายเกม

(ต่ำสุดที่ 5 สูงสุดที่ 10)

โจมตีกายภาพ(5) โจมตีธาตุ(7) โจมตีสเตตัส(8) โจมตีขี่(9)

ป้องกัน(5) ความคล่องตัวตอนโจมตี(8) ความคล่องตัวตอนหลบ(8)

ความยากตอนเริ่มใช้(5) ความยากในการใช้ให้คล่อง(7) ความยากในการฝึกใช้(5)

เปรียบเทียบกับอาชีพในเกมออนไลน์หรือโมบ้า

อาชีพประเภท Rogue/Assassin หรือแดมเมจ/ดีบัฟไฮบริด หรือ สายไฟท์เตอร์ที่เน้นการหลบหลีกและ CC ศัตรู


ข้อดี
  1. ทำได้ทุกอย่าง
  2. จับง่าย ฝึกง่าย
  3. ใช้ไอเท็มได้โดยไม่ต้องเก็บอาวุธ
  4. ใช้เครื่องยิงติดตัวได้โดยไม่ต้องเก็บอาวุธ
  5. คล่องตัวสูง
  6. การ์ดได้
  7. เปลี่ยนองศาการโจมตีระหว่างคอมโบได้
  8. เทพเจ้าเวหาเบอร์ 2
  9. โจมตีสเตตัสระดับท็อป
  10. ทำแดมเมจได้ทั้งแบบเฉือน และแบบทุบ
ข้อเสีย
  1. ไม่สุดสักอย่าง
  2. แดมเมจน้อยถ้าใช้ไม่คล่อง
  3. ระยะตีสั้น
  4. ความคมโดยเฉลี่ยต่ำ กินความคมค่อนข้างมาก
  5. ถูกมองว่าเป็นนูป
สิ่งที่ผู้เล่นมักเข้าใจผิด
  1. ดาบโล่ห์เป็นอาวุธนูป
  2. ดาบโล่ห์ทำแดมเมจไม่ได้
  3. ดาบโล่ห์เป็นอาวุธเพียวซัพพอร์ต
  4. มีโล่ห์ต้องกัน

สไตล์การเล่น

Sword and Shield หรือ SnS หรือที่เราเรียกกันว่าดาบโล่ห์ เป็นอาวุธมาตรฐานที่เกมยัดใส่มือเรามาตอนเริ่มเกม ทำให้เกิดความคิดที่ว่าอาวุธเริ่มต้น = อาวุธมือใหม่ ขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ใน MHW ดาบโล่ห์เป็นอาวุธที่ค่อนข้างไกลห่างกับการเป็นอาวุธมือใหม่พอสมควร

ดาบโล่ห์เป็นอาวุธที่สมดุลที่สุดในเกม มีจุดเด่นตรงความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ พิเศษที่สามารถใช้ไอเท็มและเครื่องยิงได้โดยไม่ต้องเก็บอาวุธ มีความเร็วในการเคลื่อนไหวสูง สามารถต่อคอมโบการโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง สมูธ และหลากหลาย รวมทั้งยกโล่ห์ขึ้นมากันได้ยามจวนตัว

แต่ด้วยความสมดุลแต่ไปได้ไม่สุดของมันทำให้ผู้เล่นแทบทุกคนหันไปมองอาวุธชิ้นอื่นที่เด่นสุดขีดในด้านใดด้านหนึ่งแทน แล้วไม่เคยเหลียวมองกลับมาที่มันอีกเลย

สไตล์การเล่นที่แท้จริงของดาบโล่ห์ใน MHW นั้น คือการโจมตีอย่างไหลลื่นในจุดใดจุดหนึ่งของมอนสเตอร์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องหยุดพักเลยก็ได้ โดยเน้นทำแดมเมจแบบธาตุ และยังเป็นอาวุธที่มีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนองศาการโจมตีระหว่างคอมโบได้ โดยไม่ต้องขยับหรือเคลื่อนไหว ทำให้สไตล์การเล่นหลักของดาบโล่ห์นั้นค่อนข้างดุดัน ใช้การหลบเน้นเพื่อเข้าหามากกว่าออกห่าง และคอยพัวพันโจมตีที่ส่วนขาของมอนสเตอร์เพื่อทำให้ล้มลง แล้วจัดการจุดอ่อนอื่นๆเป็นลำดับต่อไป

และความสามารถในการใช้ไอเท็ม วางกับดัก วางระเบิด หรือเก็บกระสุนพิเศษประเภทต่างๆมายิงได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเก็บอาวุธ รวมกับความเร็วในการเคลื่อนที่ขณะที่ไม่เก็บอาวุธค่อนข้างสูงนั้น ทำให้คนที่ใช้ดาบโล่ห์มีความสมูธในการใช้ไอเท็มต่างๆมากกว่าอาวุธชนิดอื่นๆภายในเกม และมักจะเป็นผู้ที่รับหน้าที่ใช้หน้าไม้ยิงกระสุนแบบพิเศษบ่อยที่สุดในปาร์ตี้

แต่ด้วยความที่ระยะการโจมตีของอาวุธนั้นสั้น ยิ่งเมื่อนำไปเทียบกับอาวุธประเภทอื่นๆ ยกเว้นไว้เพียงแต่ดาบคู่ ทำให้อาวุธทั้งสองประเภทนี้ มีปัญหาเมื่อพบมอนสเตอร์ที่อวัยวะบางส่วนอยู่สูง เช่น ช่วงท้อง หาง หรือขามีเกราะทำให้ตีไม่ค่อยเข้า ยิ่งเมื่อความคมโดยเฉลี่ยของดาบโล่ห์นั้นน้อย ยิ่งทำให้เป็นปัญหามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ซึ่งทำให้แดมเมจโดยรวมลดน้อยลงและเสียเวลาในการล่ามากขึ้น

และถึงแม้จะสามารถการ์ดได้แบบหอกหรือหอกปืน คนเล่นดาบโล่ห์ไม่ควรจะใช้การการ์ดมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเหมือนกับดาบใหญ่ การป้องกันของดาบโล่ห์ส่วนใหญ่คือการหลบ การการ์ดใช้กันเสียงคำรามของมอนสเตอร์หรือใช้ยามจวนตัวมากกว่าไม่เหมือนกับอาวุธสายหอก

อีกเรื่องที่หลายคนไม่ทราบคือ ในเกมที่ระบบการขึ้นขี่มอนสเตอร์เพื่อทำให้ล้ม เมื่อทำแดมเมจประเภทขี่ได้นั้น พลองแมลงคือราชาในด้านนี้ แต่อันดับสองที่ตามมาติดๆคืออาวุธเป็ดอันนี้นี่เอง ดาบโล่ห์เป็นหนึ่งในอาวุธที่สามารถทำแดมเมจประเภทนี้จากสภาพพื้นผิวแบบไหนก็ได้ อาศัยเพียงท่าในตัวอาวุธเอง โดยไม่จำเป็นต้องกระโดดลงมาจากพื้นด้านบนหรือกระโดดจากกำแพงแบบอาวุธอื่นๆ ทำให้ดาบโล่ห์สามารถทำแดมเมจประเภทขี่ได้ถี่และสูง เป็นรองแค่พลองแมลงเท่านั้น

ในปาร์ตี้ ดาบโล่ห์คือคนที่พร้อมจะทำอะไรก็ได้ที่ปาร์ตี้ๆนั้นขาด ไม่มีค้อนคอยทำแดมเมจทุบ? ดาบโล่ห์ทำได้ ไม่มีพลองแมลงคอยทำแดมเมจขี่? ดาบโล่ห์ทำได้ ไม่มีขลุ่ยค้อนคอยบัฟ? ดาบโล่ห์(ก็พอจะ)ทำได้ ไม่มีคนทำแดมเมจเฉือน ดาบโล่ห์ทำได้ เพียงแต่ไม่ดีเท่า

และในขณะเดียวกันเมื่อบิ้วมาถูกทาง ก็แทบจะไม่มีใครที่พอจะทำแดมเมจสเตตัสสู้กับดาบโล่ห์ได้อย่างสูสี ไม่รวมถึงการที่ดาบโล่ห์ยังคงความสามารถหลักๆไว้ทั้งหมดแม้จะบิ้วไปทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้ดาบโล่ห์คือผู้ที่ปาร์ตี้หวังให้เติมเต็มจุดที่ขาด และถูกมองให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักหากต้องการให้มอนสเตอร์ติดสเตตัสอย่างใดอย่างหนึ่ง

โดยรวมแล้ว ดาบโล่ห์คืออาวุธที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบที่สุดในเกม ซึ่งเหมาะกับสายไฮบริดที่เน้นการสนับสนุนเพื่อนในตี้ผ่านการ CC มอนสเตอร์ให้ติดสเตตัสหรือล้มและขี่อยู่เรื่อยๆ แต่ก็สามารถทำแดมเมจประเภทธาตุได้ด้วยสไตล์การหลบเข้าใส่และพัวพันอยู่ใกล้ๆตัวมอนสเตอร์ แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบสไตล์การเล่นไปในทางใดทางหนึ่งแบบสุดขั้ว เพราะอาวุธชนิดอื่นๆดูจะถูกสร้างขึ้นมาให้เข้ากับสไตล์การเล่นโดยเฉพาะได้มากกว่าครับ
1 条留言
CallmeCat 2018 年 12 月 16 日 上午 1:02 
คู่มือ Event ได้ทำแยกไว้แล้วนะคะ

https://steamcommunity.com/sharedfiles/filedetails/?id=1589671766

ส่วนการอัพเดพข่าวสารทางเราก็มีนะ

https://steamcommunity.com/sharedfiles/filedetails/?id=1589541569